เมื่อวันที่ 14 เมษายน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึงสถานการณ์โจมตีซีเรียล่าสุดระบุว่า กองทัพรัสเซียออกมาแถลงอ้างว่าจากข้อมูลเบื้องต้นยังไม่มีพลเรือนซีเรียหรือทหารเสียชีวิตจากการโจมตีของชาติพันธมิตรตะวันตก ขณะที่จรวดมิสไซล์จำนวน 103 ลูก รวมถึง โทมาฮอว์ก ที่ฝ่ายสหรัฐและชาติพันธมิตรยิงถล่มเป้าหมายในซีเรียนั้น ได้ถูกระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศของซีเรียยิงสกัดทิ้งได้จำนวน 71 ลูก
ขณะที่ทำเนียบเครมลินของรัสเซียยังออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการจัดประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ขึ้นโดยด่วน เพื่อหารือถึงมาตรการรุกรานซีเรียของสหรัฐและชาติพันธมิตร
มีปฏิกิริยาท่าทีจากหลายฝ่ายที่มีต่อปฏิบัติการโจมตีซีเรียครั้งนี้ของกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐ โดยนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวว่า สหภาพยุโรป(อียู) ยืนเคียงข้างสหรัฐ ฝรั่งเศสและอังกฤษในปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าซีเรียที่ร่วมกับรัสเซียและอิหร่านจะไม่สามารถก่อโศกนาฏกรรมต่อมนุษย์เช่นนี้ได้อีก หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะไม่ถูกปล่อยไปโดยปราศจากการชดใช้ใดๆ โดยอียูจะยืนข้างพันธมิตรบนหลักความยุติธรรม
ด้านนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า เยอรมนีสนับสนุนการใช้มาตรการทางทหารที่จำเป็นและเหมาะสมในการเข้าไปแทรกแซงในซีเรีย
ส่วนตุรกี อีกชาติคู่ปรับที่ไม่ลงรอยกับรัฐบาลอัสซาด แสดงความสนับสนุนการใช้มาตรการทางทหารจัดการกับซีเรียของชาติตะวันตก โดยชี้ว่า การโจมตีด้วยอาวุธทำลายล้างรุนแรงรวมถึงอาวุธเคมีต่อเป้าหมายพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้าของซีเรียเท่ากับเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและไม่ควรลอยนวลไปได้โดยปราศจากการรับโทษทัณฑ์
ขณะที่นอกเหนือจากรัสเซีย ชาติพันธมิตรซีเรีย จะคัดค้านการใช้กำลังทางทหารจัดการกับซีเรียแล้ว จีน ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซี ยังออกมาประกาศคัดค้านการใช้กำลังรุนแรงในซีเรียด้วย
ที่มา มติชนออนไลน์