“พล.อ.นิพัทธ์” แนะจับตาท่าที “ปูติน” หลังเหตุโจมตีซีเรีย

The Damascus sky lights up missile fire as the U.S. launches an attack on Syria targeting different parts of the capital early Saturday, April 14, 2018. Syria's capital has been rocked by loud explosions that lit up the sky with heavy smoke as U.S. President Donald Trump announced airstrikes in retaliation for the country's alleged use of chemical weapons. (AP Photo/Hassan Ammar)

เมื่อวันที่ 14 เมษายน พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์กับ มติชน ว่า การโจมตีต่อที่หมายในซีเรียเมื่อเช้าวันนี้ เป็นการทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อเนื่องที่เริ่มรบกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 ล่าสุด สหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศส ประสานกันอย่างแน่นแฟ้นตัดสินใจใช้อาวุธนำวิถีระยะไกล และอากาศยานถล่มเป้าหมายที่ระบุว่า เป็นที่ตั้งของกองกำลังและคลังอาวุธเคมีของซีเรียที่ทหารนำไปใช้สังหารประชาชนที่เมืองดูมาเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจาก ทรัมป์ ประกาศว่า การโจมตีที่ทำเนียบขาวในเวลา 2100 น.(เวลาในวอชิงตัน) จุดประสงค์ของการโจมตีครั้งนี้ เพื่อยับยั้งการใช้อาวุธเคมี

พลเอกนิพัทธ์ กล่าวว่า การโจมตีครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งต่อตัวประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัซซาด ซึ่งเป็นผู้นำซีเรียที่รับผิดชอบในสงครามกลางเมืองมากว่า 7 ปี เป็นความชัดเจนของการโจมตีโดย นาย จอห์น แมททิส รมว.กห. สหรัฐ แถลงเป้าหมาย 3 ประเภท คือ สถานที่ทดลองทางวิทยาศาสตร์ในกรุงดามัสกัส คลังเก็บสารเคมีทางตะวันตกของเมืองฮอม (Homs) และที่บัญชาการทางทหารใกล้เมืองฮอม

“เป็นที่น่าสนใจว่า การโจมตีครั้งนี้ มีมหาอำนาจรัสเซียออกมาแถลงการณ์สนับสนุนฝ่ายซีเรีย รัสเซียมีกองกำลังของของรัสเซียตั้งอยู่ในบริเวณเป้าหมายด้วย สื่อในซีเรียที่สนับสนุนนาย อัล อัซซาด เปิดเผยในขั้นต้นว่ามีที่หมายโดนโจมตีเสียหายบางจุด แต่ฝ่ายซีเรียก็สามารถใช้ขีปนาวุธยิงสกัดขีปนาวุธของสหรัฐก่อนพุ่งเข้าสู่ที่หมายได้

“ท่าทีของนางเทเรซาเมย์ นรม.อังกฤษกล่าวชัดเจนว่า อังกฤษส่งเครื่องบินรบ ทอร์นาโด 4 ลำเข้าร่วมโจมตีเป้าหมาย ส่วนเหตุผลที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมการปฏิบัติการครั้งนี้โดยประธานาธิบดี มาครง กล่าวว่า “ซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีสังหารหมู่ประชาชน ผู้หญิงและเด็ก เสียชีวิตที่เมืองดูมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” ”

พลเอกนิพัทธ์ กล่าวอีกว่า เท่าที่ติดตามเหตุการณ์ สหรัฐเคยปล่อยจรวดโทมาฮอว์ค 59 ลูกถล่มฐานทัพซีเรียเมื่อเมษายนปีที่แล้วซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต ราว 80 คน ซึ่งก็ไม่เกิดผลการเปลี่ยนแปลงใดๆทางการเมือง ในซีเรีย การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ สหรัฐใช้อาวุธถล่มมากเป็น 2 เท่า

“เรื่องสงครามกลางเมืองในซีเรียยาวนาน 7 ปี เป็นเรื่องที่น่าเวทนา เพราะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปแล้วราว 6 หมื่นคน ชาวซีเรียหนีตายออกนอกประเทศ บ้างก็เรือล่มเสียชีวิตในทะเล บางส่วนทะลักเข้าไปในบ้านใกล้เรือนเคียง และลุกลามเข้าไปในยุโรป สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเองในซีเรีย มีตัวละครมากหลาย มีความสลับซับซ้อน มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายฝ่าย เป็นการกลับมาเผชิญหน้าของมหาอำนาจอีกครั้ง ที่น่าสนใจที่สุด คือ ท่าทีของปูติน ที่จับมือกับผู้นำอิหร่าน ที่แข็งกร้าวต่อ 3 มหาอำนาจส่วนท่าทีประเทศไทย มีหน่วยงานดูแลรับผิดชอบอยู่แล้ว” พลเอกนิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์