
สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐในช่องแคบไต้หวัน หนุนบริษัทอาวุธยุทโธปกรณ์สหรัฐกอดคอรุ่ง ยอดขายและกำไรเพิ่มสูงตามดีมานด์ ขณะที่หุ้นโตแรงเหนือตลาด
สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2023 ว่า เมื่อปี 2022 ไม่นานหลังจากรัสเซียบุกยูเครน เพนตากอน หรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐเรียกเหล่าบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่ที่สุดของโลกเข้าประชุมเพื่อบอกให้เพิ่มการผลิต ซึ่งในตอนนั้น ซีอีโอบริษัทหนึ่งลังเลที่จะเพิ่มการผลิต โดยบอกว่าไม่อยากอยู่กับสินค้าที่ขายไม่ออกเมื่อสงครามสิ้นสุดลง
แต่ผ่านมาเกือบสองปี สงครามไม่ได้จบลงเร็วอย่างที่บางคนคิด และหลายบริษัทในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ (Defense Industry) คาดว่าจะมีดีมานด์ที่แข็งแกร่งในปี 2024 ในขณะที่สหรัฐและพันธมิตรกำลังเพิ่มอาวุธและยุทโธปกรณ์ราคาแพงเข้าคลังพร้อมกับการจับตามองการกระทำของจีนกับรัสเซีย ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว (Aggressive) มากขึ้น
รอยเตอร์บอกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการป้องกันขีปนาวุธ จะมีการผลิตระบบสกัดกั้นขีปนาวุธแพทริออตสำหรับกองทัพสหรัฐเพิ่มจาก 550 เป็น 650 เครื่องต่อปี แพทริออตมีราคาประมาณเครื่องละ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 139 ล้านบาท) ซึ่งการเพิ่มการผลิต 100 เครื่องต่อปีอาจเพิ่มยอดขายได้ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 139,000 ล้านบาท)
ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของระบบเก่ามักจะให้ผลกำไรมากกว่าต้นทุนการลงทุนที่สูง ของการเพิ่มการผลิตระบบใหม่ ดังนั้น จึงคาดว่าดีมานด์ที่แข็งแกร่งนี้จะทำให้บริษัทผู้ผลิตมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สามารถแจกแจงระบบการผลิตแพทริออตเพื่อให้เห็นว่ายอดขายจะส่งผลกระทบต่อบริษัทต่าง ๆ อย่างไร โดยเริ่มจากอาร์ทีเอ็กซ์ (RTX) เป็นผู้ผลิตเรดาร์และระบบภาคพื้นดิน และล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) เป็นผู้ผลิตขีปนาวุธสกัดกั้นรุ่นล่าสุด
RTX เพิ่มการผลิตเครื่องปล่อยอาวุธและระบบควบคุมเป็น 12 หน่วยต่อปี ซึ่งเครื่องปล่อยอาวุธและเรดาร์รวมกันมีราคาประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเครื่อง
ขณะที่โบอิ้ง (Boeing) กล่าวว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเพิ่มกำลังการผลิตเซ็นเซอร์ของโรงงานในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐอาลาบามา ซึ่งใช้ในการนำทางขีปนาวุธแพทริออตมากกว่า 30%
สัญญาณความต้องการที่แข็งแกร่งอีกประการหนึ่ง สามารถเห็นได้จากงานรอการส่งมอบในมือของบริษัทผลิตเครื่องยนต์จรวด ซึ่งมีดีมานด์สูงนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
สหรัฐอเมริกามีผู้ผลิตเครื่องยนต์หรือมอเตอร์จรวดหลัก 2 ราย ได้แก่ นอร์ธรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) และแอลทรีแฮร์ริส เทคโนโลยีส์ (L3Harris Technologies) ซึ่งบริษัททั้งสองบอกว่าได้เห็นดีมานด์เครื่องยนต์จรวดที่เพิ่มขึ้น โดยนอร์ธรอปกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของดีมานด์ส่วนใหญ่เป็นความต้องการเครื่องยนต์จรวดและหัวรบในระบบจรวดนำวิถีแบบหลายลำกล้อง (GMLRS) ซึ่งมีการใช้งานอย่างหนักในยูเครน
GMLRS เป็นจรวดที่นำทางด้วย GPS พร้อมหัวรบหนัก 200 ปอนด์ (90 กก.) ซึ่งล็อกฮีด มาร์ติน ผลิตขีปนาวุธได้ 10,000 ลูกต่อปี และกำลังเพิ่มการผลิตเป็น 14,000 ลูก ตามเอกสารของกองทัพบกสหรัฐระบุว่า GMLRS มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 148,000 ดอลลาร์ต่อลูก ซึ่งนับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนมาจนถึงตอนนี้ มี GMLRS ถูกส่งไปยังยูเครนแล้ว 6,100 ลูก
รอยเตอร์รายงานอีกว่า หุ้นของบรรดาบริษัทด้านอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐชนะดัชนีหุ้น S&P 500 ได้อย่างง่ายดายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และตลาดคาดการณ์ว่าราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้จะยังเพิ่มขึ้นต่อไป
หุ้นของ ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin), เจเนอรัล ไดนามิกส์ (General Dynamics) และนอร์ธรอป กรัมเแมน (Northrop Grumman) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 5% ถึง 7% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ดัชนี S&P 500 คาดว่าจะมีกำไรอย่างจำกัด
เอริก แฟนนิง (Eric Fanning) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคมอุตสาหกรรมการบินและอวกาศสหรัฐ เปิดเผยว่า ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนนั้น คลังอาวุธของสหรัฐไม่ได้ “เต็ม” และคลังอาวุธของสหรัฐเริ่มลดลงและหมดลง ส่งผลให้ดีมานด์ได้รับแรงหนุนจากการรุกรานของจีน ความกลัวการรุกรานของรัสเซีย และการสนับสนุนพันธมิตรของสหรัฐในตะวันออกกลาง
ทิม เคฮิลล์ (Tim Cahill) ผู้บริหารธุรกิจขีปนาวุธและควบคุมอัคคีภัยของบริษัทล็อกฮีดกล่าวว่า ในแต่ละวันอาวุธยุทโธปกรณ์ถูกยิงออกไป เป็นการตอกย้ำความต้องการคลังอาวุธจำนวนมาก “และผมไม่เห็นว่ามันลดลง”
ผู้บริหารของบริษัทผลิตเครื่องยนต์จรวดกล่าวว่า ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ได้จัดลำดับความสำคัญของอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นอันดับแรก ๆ ในคำของบประมาณกระทรวงกลาโหมปี 2024
เขาคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น หลังจากการผ่านร่างกฎหมายนโยบายกลาโหมมูลค่า 886,000 ล้านดอลลาร์ ที่เรียกว่า NDAA หรือกฎหมายการอนุญาตด้านกลาโหม ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว