ถอดบทเรียน “ออสโล” เมืองต้นแบบรถอีวี

แม้หลายประเทศจะเดินหน้านโยบายยุติการใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปทั้งหมดภายในทศวรรษหน้า แต่ถ้าให้พูดถึงประเทศที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดภายในปี 2025 “นอร์เวย์” ประเทศที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ และมีประชากรเพียง 5 ล้านคน น่าจะเข้าวิน

เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ รายงานว่า ผลสำรวจในประเทศนอร์เวย์ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2017 ยอดขายรถพลังงานไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด พุ่งแซงรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปแล้วเรียบร้อย โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการจราจรแห่งนอร์เวย์ (OFV) รายงานตัวเลขว่า 52% ของรถใหม่ที่ขายในปี 2017 ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด หรือเป็นรถพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบทั้งสิ้น

Oyvind Solberg ผู้อำนวยการแห่ง OFV ระบุว่า เทรนด์รถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีทั้งต่อความปลอดภัยบนท้องถนนและสิ่งแวดล้อม

ความพยายามของรัฐบาลในการสนับสนุน ไม่ว่าจะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งสถานีชาร์จไฟเพิ่ม ทั้งการออกนโยบายสิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะทางภาษีและการให้เงินสนับสนุนการซื้อ ทำให้นอร์เวย์มียอดขายรถพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจนน่าดีใจ โดยเฉพาะ “ออสโล” เมืองหลวงนอร์เวย์ ถูกยกให้เป็นเมืองต้นแบบของการใช้งานรถอีวี

Sture Portvik ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้าจากประเทศนอร์เวย์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของระบบการใช้งานรถพลังงานไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในเมืองออสโล ได้เล่าถึงสถานการณ์รถอีวีในนอร์เวย์ บนเวที “The Future is Electric : Experience from the World”s First Mass Market for Electric Vehicles-Oslo” ณ กระทรวงการต่างประเทศของไทย เมื่อ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา

โดยระบุ 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้รถอีวีใช้กันอย่างแพร่หลาย ต้องประกอบด้วย 1.“ถูกพอที่จะซื้อ” โดยรัฐบาลต้องยกเว้นการจัดเก็บภาษีต่าง ๆ 2.“ถูกพอที่จะใช้งาน” เช่น การให้ส่วนลดที่จอดรถ หรือการให้จอดรถฟรี สิทธิในการใช้บัสเลน สิทธิในการใช้งานโทลล์เวย์แบบไม่มีค่าใช้จ่าย

และ 3.“สะดวกพอที่จะใช้งาน” คือ ต้องมีสถานีชาร์จอย่างเพียงพอ และเข้าถึงได้ง่าย

“วิธีการคือ รัฐบาลนอร์เวย์ได้ทำให้รถพลังงานไฟฟ้าถูกพอที่ทุกคนจะซื้อมาใช้ ส่วนเมืองต่าง ๆ มีหน้าที่สนับสนุน โดยออกนโยบาย ที่ทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องประหยัด และสะดวกสบาย ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยสำคัญเท่ากันหมด” Portvik กล่าว

จากแนวทางดังกล่าวของรัฐบาลปัจจุบัน รถอีวีมีส่วนแบ่งตลาดในเมืองออสโลถึง 27% เทียบกับเมืองเซี่ยงไฮ้ หรือเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ที่รถอีวีมีส่วนแบ่งตลาดที่ 15% และ 11% ตามลำดับ หรือเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีสัดส่วนการใช้งานรถอีวีอยู่ที่ 10% จากจำนวนรถยนต์ในเมืองทั้งหมด และยอดขายรถอีวีในออสโลก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดการณ์ว่าสัดส่วนของรถยนต์พลังงานทางเลือกจะเพิ่มเป็น 53.5% ในปี 2018

อีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับกลยุทธ์ของเมืองออสโล เมื่อจำนวนรถอีวีเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มสถานีชาร์จรองรับก็จำเป็น แต่ออสโลก็มีปัญหาในการขยายสถานีชาร์จ เพราะ 61% ของประชากรในเมือง อาศัยในอพาร์ตเมนต์และทาวน์เฮาส์ ทางการเมืองออสโลจึงได้เสนอแนะให้ใช้สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ในเมืองอย่างชั้นใต้ดินของป้อมปราการ Akershus ใจกลางเมืองออสโล ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี และสะดวกต่อประชาชนในการเดินทางเข้าถึง รีโนเวตเป็นสถานีชาร์จไฟและโรงจอดรถสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน และยังมีสถานที่อื่นในเมืองที่ใช้โมเดลคล้ายกัน โดยสามารถฝากจอดรถข้ามคืนได้ หรือสามารถจองสลอตสำหรับชาร์จแบตล่วงหน้าได้

แม้ว่าออสโลจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองต้นแบบรถยนต์อีวี แต่การสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองชนบท ยังเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ว่าจะส่วนกลางหรือท้องถิ่นยังต้องทำงานหนัก เพราะเสียงจากผู้ใช้งานในต่างจังหวัดของนอร์เวย์ อย่าง Adam Curylo ซึ่งทำอาชีพขับรถบัส และเป็นเจ้าของรถนิสสัน ลีฟ กล่าวกับ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ การหาที่ชาร์จไฟฟ้าในชนบทยังเป็นเรื่องยาก แม้ว่ารัฐบาลจะทำให้การใช้งานรถอีวีมีราคาถูก แต่ต้องไม่ลืมการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จ เพื่อตอบสนองการใช้งานอย่างแท้จริง