ฝรั่งเศสหลังเลือกตั้ง กับความเสี่ยงทางการคลังที่อาจกระทบอันดับเครดิต

ชาวฝรั่งเศสรวมตัวเฉลิมฉลองในคืนวันเลือกตั้งรอบสอง 7 กรกฎาคม 2024
ชาวฝรั่งเศสรวมตัวเฉลิมฉลองในคืนวันเลือกตั้งรอบสอง 7 กรกฎาคม 2024 (ภาพโดย Emmanuel Dunand / AFP)

การเลือกตั้งฝรั่งเศสรอบสองเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2024 สร้างเซอร์ไพรส์อย่างยิ่ง ผลการเลือกตั้งผิดไปจากคาดการณ์ และผลการเลือกตั้งรอบแรกที่ว่าพรรคเนชั่นแนลแรลลี หรือ Rassemblement National (RN) พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดจะชนะและจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายขวาทำงานร่วมกับประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ซึ่งมาจากพรรคคู่แข่ง 

ผลคะแนนเลือกตั้งรอบสองปรากฏว่า นิว พ็อปพูลาร์ ฟรอนต์ (New Popular Front : NPF) กลุ่มพันธมิตรแนวร่วมฝ่ายซ้ายชนะมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนที่นั่งในสภา 178 ที่นั่ง ขณะที่พันธมิตรแนวร่วมสายกลางของ เอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) มาเป็นอับดับ 2 ได้ไป 150 ที่นั่ง ส่วน RN ฝ่ายขวาจัดที่เป็นตัวเต็งกลับพ่ายแพ้ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 3 ได้ไป 142 ที่นั่ง 

ไม่มีพรรคการเมืองหรือกลุ่มแนวร่วมใดที่ชนะเด็ดขาดได้ สส.ถึง 289 ที่นั่ง พอที่จะครองเสียงข้างมากในสภา ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะ “สภาแขวน” ที่รัฐบาลมีเสียงข้างน้อยในสภาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส 

หากมองในมิติประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สังคม คนจำนวนมากกังวลกับการที่ฝ่ายขวาจัดได้เป็นรัฐบาล แต่สำหรับมิติทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน บรรดาภาคธุรกิจและนักลงทุนไม่ได้กังวลกับรัฐบาลฝ่ายขวามากเท่ารัฐบาลฝ่ายซ้าย  

ก่อนการเลือกตั้ง ภาคธุรกิจและนักลงทุนมีมุมมองแง่ลบต่อโครงการ-นโยบายต่าง ๆ ของ NPF ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างความตึงเครียดทางการคลัง อีกทั้งบรรดาผู้มั่งคั่งก็กังวลกับการที่ฝ่ายซ้ายจะนำภาษีทรัพย์สินผู้มั่งคั่งที่รัฐบาลมาครงยกเลิกไปกลับมาใช้อีกครั้ง และจะเก็บภาษีภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น

ขณะที่ถ้าเป็นรัฐบาลฝ่ายขวา ภาคธุรกิจและตลาดทุนจะสบายใจกว่าในแง่ที่ว่า RN จะเป็นมิตรต่อตลาดและธุรกิจมากกว่า แต่ก็มีความกังวลกับการมีผู้นำที่ขาดประสบการณ์ในการบริหารขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจาก จอร์แดน บาร์เดลลา (Jordan Bardella) ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรค RN เป็นรัฐบาล มีอายุเพียง 28 ปี 

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาอย่างที่เห็น นักลงทุนมองว่าการไม่มีรัฐบาลที่ครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในสภานั้น ทำให้สบายใจได้ว่าจะไม่มีการปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญใด ๆ แต่นักลงทุนก็ไม่ได้มองว่าการอยู่ในภาวะ “สภาแขวน” เป็นข่าวดีสำหรับภาคการคลังฝรั่งเศส 

ฝรั่งเศสมีความเสี่ยงทางการคลัง เนื่องจากขาดดุลงบประมาณสูงกว่าที่กำหนดในมาตรการวินัยการคลังของสหภาพยุโรป (อียู) ว่าต้องไม่เกิน 3% ของจีดีพี ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาลมาครงประกาศตั้งเป้าที่จะลดการขาดดุลการคลังลงให้ได้

ในทางตรงข้าม แนวร่วมฝ่ายซ้ายที่กำลังร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลประกาศว่าจะ “แตกหัก” อย่างเด็ดขาดจากนโยบายของรัฐบาลมาครงที่ทำมาหลายปี และจะดำเนินนโยบายขั้วตรงข้าม ทั้งปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ลดอายุเกษียณ และกำหนดเพดานราคาสินค้าพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพในฝรั่งเศส และจะนำภาษีทรัพย์สินผู้มั่งคั่งที่มาครงยกเลิกไปกลับมาใช้อีกครั้ง และจะเก็บภาษีภาคธุรกิจเพื่อเป็นงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายด้านสังคมที่เพิ่มขึ้น

นักลงทุนคาดว่าการขาดดุลงบประมาณของฝรั่งเศสในปีนี้จะยังคงเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 5.5% ของจีดีพี และการที่แนวร่วมฝ่ายซ้ายประกาศว่า “ไม่มีแผนจะลดการขาดดุลงบประมาณ” เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ตลาดทุนมองว่า NPF จะเป็นภัยต่อตลาดมากกว่า RN

ขณะที่บริษัทจัดอันดับเครดิต “เอสแอนด์พี โกลบอล เรตติงส์” (S&P Global Ratings) เตือนเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า อันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสซึ่งถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเมื่อเดือนพฤษภาคม จะต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอีก หากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หรือไม่สามารถลดการขาดดุลงบประมาณลงได้

นอกจากนั้น เอสแอนด์พีประมาณการว่า การขาดดุลงบประมาณของฝรั่งเศสโดยภาพรวมไม่น่าจะลดลงต่ำกว่า 4% ของจีดีพีก่อนปี 2027 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นเป็น 112% จาก 110.6% เมื่อสิ้นปี 2023