จีนผลิต “แร่หายาก” มากเกิน จนหาไม่ค่อยยาก ฉุดราคาร่วง 20% ใน 1 ปี

เหมืองแร่หายาก
ภาพเหมืองแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ)

ราคาแร่หายากในตลาดโลกลดลงประมาณ 20% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากจีนเพิ่มการผลิต ทำให้แร่หายากกลายเป็นหาไม่ค่อยยากแล้ว ครึ่งแรกของปีนี้จีนผลิตเพิ่มขึ้น 12.5% จากปีก่อนหน้า กระทบความสามารถในการทำกำไรของผู้ผลิต 

วันที่ 19 กรกฎาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า ราคาแร่หายาก หรือแรร์เอิร์ท ในตลาดโลกร่วงลง 20% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการผลิตที่มากจนล้นเกินของจีน ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อผู้ผลิตแร่หายากภายในประเทศจีนเป็นอย่างมาก โดยเหมืองแร่รายใหญ่รายหนึ่งในจีนมีกำไรสุทธิไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 94%

ข้อมูลราคาจากอาร์กัส มีเดีย (Argus Media) บริษัทด้านข้อมูลราคาตลาดพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นนำเผยว่า ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2024 ราคาแร่นีโอดิเมียมร่วงลง 23% ส่วนแร่ดิสโพรเซียมร่วงลง 24% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2023 

ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันกับดัชนีราคาที่สมาคมอุตสาหกรรมแร่หายากจีน (Association of China Rare Earth Industry) เผยแพร่ในที่ 18 กรกฎาคมว่า ธุรกรรมของบริษัทแร่หายากลดลงประมาณ 20% จากปลายเดือนกรกฎาคม 2023 

ทั้งนี้ แร่ที่ถูกจัดว่าเป็นแร่หายากนั้นมี 17 ชนิด แร่หายากส่วนใหญ่มักใช้ในการทำแม่เหล็กแบบถาวร (Permanent Magnet) ซึ่งเป็นส่วนประกอบในมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้า มอเตอร์ในกังหันลม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ 

นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานแร่หายากในงานด้านแสง อย่างเช่น แร่ซีเรียมใช้เป็นสารขัดเงากระจกที่ใช้ในฮาร์ดดิสก์ และแร่แลนทานัมใช้ในกระจกมองภาพสำหรับกล้องและกล้องจุลทรรศน์ เป็นต้น ซึ่งคาดว่าอุปสงค์จะไต่ระดับขึ้นได้ในระยะยาว 

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม แม้แร่หายากจะมีความต้องการใช้งานสูง แต่ราคากลับลดลง เป็นเพราะว่าการเพิ่มผลผลิตในจีน

กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีน ได้จัดสรรโควตาการผลิตแร่หายากให้แก่ผู้ผลิตภายในประเทศในครึ่งแรกของปี 2024 เป็น 135,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 12.5% จากปีก่อน  

ADVERTISMENT

จากข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) พบว่าในปี 2023 จีนครองสัดส่วนผลิตแร่หายากคิดเป็น 70% ของการผลิตทั้งโลก ซึ่งลดลงมาแล้วจากสัดส่วน 80% ถึง 90% ในช่วงต้นทศวรรษ 2010

ส่วนการผลิตแร่หายากทั่วโลกในปี 2023 อยู่ที่ 350,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าจากการผลิตในปี 2013 ทำให้ดูเหมือนว่าแร่หายากนั้นหาง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก 

ด้วยเหตุนี้การผลิตที่มากเกินไปจึงส่งผลกระทบทางลบต่อจีนอย่างมาก 

ถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามควบคุมการผลิตแล้วก็ตาม แต่ตลาดก็ยังคงซบเซา และผู้มีส่วนร่วมในตลาดเชื่อว่าดีมานด์แร่หายากจะไม่ฟื้นตัวขึ้นเท่าไรนัก และจะทำให้ราคาอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ต่อไป แต่ก็ไม่คิดว่าราคาจะลดลงต่ำไปกว่านี้เช่นกัน

ด้านผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมระบุว่า จะมีเหมืองจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ที่ระดับราคาปัจจุบัน และหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทผลิตแร่ยังต่ำลงเรื่อย ๆ ผลผลิตแร่หายากในจีนรวมถึงที่อื่น ๆ ก็จะต้องลดลงไปโดยปริยาย 

ความสามารถในการทำกำไรที่ย่ำแย่ของอุตสาหกรรมนี้ สังเกตได้จากกำไรรายองค์กรด้วย อย่างเช่น ไชน่า นอร์ทเทิร์น แรร์ เอิร์ท (กรุ๊ป) ไฮเทค หรือ China Northern Rare Earth (Group) High-Tech ซึ่งมีกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 52 ล้านหยวน (ราว 260 ล้านบาท) ลดลง 94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

นอกจากนี้ จากการรายงานของเดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล (The Wall Street Journal) ระบุว่า ไรอัน กัสติลลูซ์ (Ryan Castilloux) กรรมการผู้จัดการ บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาทางธุรกิจ อดามาส อินเทลลิเจนซ์ (Adamas Intelligence) กล่าวว่า จีนตั้งใจกดราคาแร่หายากลง เพื่อช่วยลดต้นทุนธุรกิจพลังงานสะอาดภายในประเทศ 

ทั้งยังกล่าวอีกว่า จีนวางแผนผลิตอย่างล้นเกินเพื่อขัดขวางความพยายามในการพัฒนาแหล่งอุปทานอื่น ๆ ราคาแร่หายากที่ต่ำลงไปนี้บีบอัตรากำไรของผู้ผลิตฝั่งตะวันตกลดลง ซึ่งหุ้นของสองผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีนอย่าง เอ็มพี แมทีเรียลส์ (MP Materials) และไลนัส แรร์ เอิร์ทส์ (Lynas Rare Earths) ร่วงลง 37% และ 11% ตามลำดับ ในปีที่ผ่านมา