
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
แม้ทางการจีนจะได้ชื่อว่าเข้มงวดสุดขีดในเรื่องข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลทั้งหลายในด้านลบ ซึ่งมักเลือกเปิดเผยเฉพาะที่จำเป็นต้องเปิดเผยเท่านั้น แต่ตัวเลขทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจ ไม่สามารถโกหกได้
โลกจึงได้รับรู้ถึงอาการทรุดลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโดยรวมของจีนในช่วงไตรมาสที่สอง ต่างกันอย่างลิบลับกับไตรมาสแรกของปีนี้ ที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวแม้จะยังต่ำ แต่ก็ยังอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก
ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสที่สองของปีเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% จากไตรมาสก่อน และถ้าคำนวณเป็นอัตราการขยายตัวตลอดปี ก็เท่ากับลดลงมาเหลือเพียง 2.8% ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกด้วยซ้ำไป
ปัญหาหลักของเศรษฐกิจจีนยังคงเป็นปัญหาเดิม ๆ ที่คาราคาซัง ยืดเยื้อมานาน นั่นคือปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่รัฐบาลพยายามหาทางแก้ แต่ก็ยังไม่ถูกจุด และไม่ดีพออยู่ดี ที่ส่งผลกระทบถึงการบริโภคของผู้บริโภคชาวจีน ที่หันมาจับจ่ายใช้สอยกันน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แห่กันเก็บหอมรอมริบเผื่ออนาคตกันแทน
จีนพยายามชดเชยปัญหานี้ด้วยการหันไปส่งเสริมการสร้างโรงงานควบคู่ไปกับการส่งเสริมการส่งออก การลงทุนใหม่ ๆ ในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นจนตัวเลขการลงทุนในช่วงสองไตรมาสแรกกระโดดออกมาอย่างชัดเจน เพราะสูงขึ้นถึง 9.5%
การขยายตัวของการลงทุนในภาคการผลิตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดผลผลิตส่วนเกินขึ้นในระบบ เพราะมีผลิตภัณฑ์ออกมาล้นเกินความต้องการที่แท้จริงในแทบจะทุกหมวดสินค้า ไล่ตั้งแต่เคมีภัณฑ์ไปจนกระทั่งถึงรถยนต์เลยทีเดียว
ผลลัพธ์ก็คือ โรงงานเองก็มีศักยภาพในการผลิตที่เกินจากความต้องการของเศรษฐกิจมากขึ้นเช่นเดียวกัน
สุดท้ายบรรดาบริษัทธุรกิจทั้งหลายก็จำเป็นต้องหั่นราคาสินค้าเพื่อแข่งกันดึงดูดใจผู้บริโภค กระนั้นก็ยังไม่สามารถทำให้คนจีนควักกระเป๋าเพิ่มขึ้นได้
จีนพยายามผลักดันสินค้าที่ผลิตออกมาเพื่อส่งออกไปขายยังต่างประเทศในราคาต่ำ ส่งผลให้เกิดการต่อต้านจากอุตสาหกรรมภายในของประเทศนั้น ๆ และต้องเผชิญกับกำแพงภาษี กลายเป็นความขัดแย้งทางการค้ากับหลายประเทศในแทบทุกทวีปแล้วในเวลานี้
ลงเอยด้วยการที่รายได้จากการส่งออกก็ยังต่ำ ไม่สามารถชดเชยการบริโภคภายในประเทศที่ขาดหายไปได้
ยอดค้าปลีกในประเทศจีนเดือนล่าสุดคือเดือนมิถุนายน โตเพิ่มขึ้นเพียง 2% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา และส่วนใหญ่ยังเป็นยอดขายสินค้าในหมวดอาหาร มูลค่าการขายรถยนต์ทรุดฮวบลง 6.2% สาเหตุหลักมาจากการลดราคาแข่งกันนั่นเอง
ผู้ที่จับตามองเศรษฐกิจจีนในยามนี้เชื่อว่า ทางการจีนกำลังแก้ปัญหาผิดทิศผิดทาง โดยการหันไปส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะในภาคการผลิต แทนที่จะแก้ไขให้ตรงจุด โดยการเพิ่มเงินในกระเป๋าผู้บริโภค ด้วยวิธีการ เช่น การหั่นงบประมาณทางการทหารลง หรือไม่ก็ถ่ายโอนผลกำไรและหุ้นของรัฐวิสาหกิจเข้าสู่กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือกองทุนเพื่อสวัสดิการสังคมของรัฐ
ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลท้องถิ่นของบางมณฑลยังขยับเพิ่มมาตรการรีดเงินจากกระเป๋าผู้บริโภค ลดขีดความสามารถในการใช้จ่ายให้มากขึ้นอีกด้วย เพื่อนำไปชดเชยรายได้ที่หายหกตกหล่นไปจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ บางมณฑลใช้วิธีกวดขันการเก็บภาษี บางมณฑลเรียกเก็บภาษีเพิ่ม หรือไม่ก็เพิ่มค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส เป็นต้น
รัฐบาลท้องถิ่นเหล่านี้มีปัญหาทางการเงิน เพราะโครงการปล่อยที่ดินให้บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯประสบวิกฤตอย่างหนัก ขายโครงการไม่ออก จนไม่มีปัญญาก่อสร้างต่อจนจบโครงการ เพราะแทบไม่มีเงินทุนหลงเหลือ
โนมูระ วาณิชธนกิจจากญี่ปุ่นประเมินว่า โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในสภาพค้างเติ่งเช่นนี้ มีไม่น้อยกว่า 20 ล้านโครงการในจีน ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่า วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด
นักวิเคราะห์จาก โซซิเอเต้ เจเนเรล กิจการวาณิชธนกิจจากฝรั่งเศส บอกว่า ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวของจีน อย่างเช่น การทรุดตัวของการค้าปลีก “น่าตกใจ” เอามาก ๆ และสรุปภาพรวมเศรษฐกิจจีนเอาไว้ว่า กำลังโซซัดโซเซอย่างน่าวิตก เพราะไม่รู้ว่าจะพังพาบลงเมื่อใด