ซาอุฯเปิดแผนลงทุนกว่า 3.6 ล้านล้านบาท มุ่งอันดับ 3 ของโลก ผู้ผลิตก๊าซชั้นหินดินดาน

อารามโก
อารามโก

ซาอุดิอาระเบียวางแผนใช้เงินลงทุนนับแสนล้านดอลล่าร์สหรัฐเพื่อการผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน มุ่งสู่ผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก ปฏิวัติก๊าซชั้นหินดินดานในประเทศ เปลี่ยนผ่านจากน้ำมันสู่พลังงานสะอาด สอดรับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

วันที่ 24 กรกฎาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า ซาอุดิอาระเบีย ผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก เผยแผนลงทุนอย่างน้อย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.6 ล้านล้านบาท ในโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (shale gas) ซึ่งจะกลายเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐและรัสเซีย เนื่องจากเศรษฐกิจซาอุฯกำลังมุ่งสู่สังคมปลอดคาร์บอน (decarbonized society)

ซาอุฯเน้นแหล่งก๊าซ จาฟูราห์ (Jafurah) ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซจากชั้นหินดินดานขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง โดยมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่ยืนยันแล้ว 229 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต เทียบเท่าปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ที่ญี่ปุ่นนำเข้าถึงราว 70 ปี

ซาอุดีอารามโก (Saudi Aramco) รัฐวิสาหกิจซาอุฯ คาดการณ์ไว้ว่าจะลงทุนในแหล่งจาฟูราห์อย่างน้อย 100,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.6 ล้านล้านบาท) ซึ่งลงเงินไปแล้วประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 9 แสนล้านบาท) ในวันที่ 30 มิถุนายน สำหรับการก่อสร้างโรงงานและงานอื่น ๆ โดยมีกำหนดการผลิตก๊าซในปี 2025

คาดว่าจะเป็นโปรเจ็กต์การพัฒนาก๊าซจากชั้นหินดินดานที่ใหญ่ที่สุด ที่อยู่นอกสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากสหรัฐค้นพบเทคโนโลยีในการขุดก๊าซจากชั้นหินดินดานก่อนประเทศอื่น จนสามารถสร้างผลผลิตได้อย่างมหาศาลในช่วงทศวรรษ 2000

เทคนิคขุดเจาะที่สหรัฐคิดค้นคือ การใช้น้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีและทรายให้หินดินดานร้าว (Hydraulic fracturing) ร่วมกับการขุดเจาะตามแนวราบ (Horizontal drilling) เพื่อช่วยเพิ่มผิวสัมผัสของหลุมเจาะกับชั้นหินดินดาน จนทำให้สามารถผลิต Shale gas ได้ในต้นทุนต่ำลง

ADVERTISMENT

โดยทางซาอุดิอาระเบียจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในบริษัทผู้ให้บริการน้ำมันหลายแห่ง ซึ่งอามิน นาสเซอร์ ซีอีโอของซาอุดีอารามโกเคยประกาศไว้ว่า “การปฏิวัติก๊าซชั้นหินดินดานใหม่กำลังเกิดขึ้น”

การลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงานของซาอุฯ

ในปี 2030 การผลิตก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของซาอุฯ จะเพิ่มขึ้น 60% จากระดับที่เคยผลิตได้ในปี 2021 เป็น 21,300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เทียบเท่า LNG ประมาณ 150 ล้านตันต่อปี หากเป้าหมายนี้เป็นจริง ซาอุฯจะกลายเป็นประเทศผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นอันดับสามของโลก ตามการรายงานของสื่อซาอุฯ

ADVERTISMENT

ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จะถูกใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าใช้ภายในประเทศและวัตถุประสงค์อื่น โดยซาอุฯจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 60% และน้ำมันเชื้อเพลิง 40% เพื่อทำตามแผนที่วางไว้ว่าจะกำจัดการปล่อยมลพิษจากน้ำมันภายในปี 2030 โดยการแทนที่น้ำมันด้วยก๊าซและแหล่งพลังงานหมุนเวียน ทั้งยังพิจารณาการส่งออก LNG ในอนาคตอีกด้วย

เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปใช้ก๊าซจากชั้นหินดินดาน ซาอุฯ จึงประกาศในเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่าจะระงับแผนขยายกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ซึ่งได้วางแผนไว้ว่าจะเพิ่มการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็น 13 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2027

การยกเลิกแผนการดังกล่าวทำให้สามารถผันเม็ดเงินลงทุนในน้ำมันดิบเดิม 40,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.4 ล้านล้านบาท) ที่จะต้องใช้ระหว่างปี 2024 ถึง 2028 มาใช้พัฒนาก๊าซธรรมชาติและวัตถุประสงค์อื่น ๆ แทน

นอกจากนี้ ซาฯยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตและการค้า LNG ในสหรัฐและออสเตรเลียด้วย ซึ่งในเดือนมีนาคม ได้บรรลุการลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.8 หมื่นล้านบาท) กับทางมิดโอเชียน เอเนอร์จี้ (MidOcean Energy) บริษัทสหรัฐที่ถือหุ้นกิจการ LNG ในออสเตรเลีย

และในเดือนมิถุนายน มีการตกลงการลงทุนระยะยาวเพื่อจัดหา LNG จากสหรัฐสองโครงการ เป็นจำนวน 6.5 ล้านตันต่อปี โดยทำการเข้าถือหุ้น 25% ในคราวเดียว ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะขายก๊าซไปยังยุโรปและเอเชีย

อย่างไรก็ตาม ซาอุฯไม่ใช่ประเทศเดียวในภูมิภาคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการผลิตน้ำมันไปยังก๊าซธรรมชาติ

ยูเออี อีกประเทศที่ต้องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

ในเดือนมิถุนายน บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (Abu Dhabi National Oil Company หรือ ADNOC) รัฐวิสาหกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)  ตัดสินใจลงทุนในโรงงาน LNG แห่งใหม่ ด้วยต้นทุนการก่อสร้าง 5,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิต LNG ในประเทศมากขึ้นกว่าสองเท่าเป็น 15 ล้านตันต่อปี

ในเดือนพฤษภาคม ADNOC ตัดสินใจซื้อหุ้นกิจการ LNG ในโมซัมบิก 10% และจะมีกำลังการผลิตประมาณ 25 ล้านตันต่อปี หากโรงงานทั้งหมดก่อสร้างแล้วเสร็จ

และในเดือนพฤษภาคมเดียวกันนั้น ADNOC ยังซื้อหุ้น 12% จากกิจการ LNG ของสหรัฐ ที่มีกำลังการผลิตประมาณ 17.6 ล้านตันต่อปี

ซาอุฯ และยูเออีมุ่งเน้นไปยังการพัฒนาก๊าซ เพราะว่าทั้งสองประเทศต้องการจะส่งเสริมการทูตพลังงาน อุปสงค์ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความต้องการบรรลุเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง สหรัฐ รัสเซียและกาตาร์กำลังเสริมสร้างอิทธิพลของตนในประชาคมระหว่างประเทศ

จากคาดการณ์ของบริษัทน้ำมัน บีพี (BP) ถ้าโลกสามารถบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 อุปสงค์น้ำมันจะตกลง 70% เมื่อเทียบกับปี 2022 ขณะที่ก๊าซธรรมชาติลดลงแค่ 50% เท่านั้น

แต่ถ้าข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและแนวโน้มอื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม อุปสงค์น้ำมันจะลดลง 20% ขณะที่ อุปสงค์ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 20%

คาเรน ยัง (Karen Young) นักวิจัยอาวุโสจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวว่า อุปทานก๊าซธรรมชาติภายในประเทศเป็นกลยุทธ์ที่สามารถใช้ได้ในระยะยาวสำหรับรัฐที่มีบริษัทน้ำมันเป็นของตัวเอง ทั้งการลงทุนผลิตในประเทศและลงทุนผลิตนอกประเทศ

ทั้งยังเสริมอีกด้วยว่า เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เหล่ารัฐวิสาหกิจจะกระจายการลงทุน ทั้งในพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นอย่างเต็มกำลัง