
นิสสันกำไรไตรมาส 1 ปีงบฯ 2024 (เมษายน-มิถุนายน) ร่วงแรง 99% (YOY) เนื่องจากไม่มีรถยนต์ไฮบริดออกวางขายในตลาดสหรัฐซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ส่งผลให้ยอดขายในสหรัฐหดสวนทางแบรนด์ร่วมชาติทั้งโตโยต้าและฮอนด้าที่ยังโตดี
วันที่ 26 กรกฎาคม 2024 นิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2024 (เมษายน-มิถุนายน 2024) ลดลง 99% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) เนื่องจากการไม่ได้นำเสนอรถยนต์ไฮบริดออกสู่ตลาดที่สำคัญอย่างสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อยอดขาย
นิสสันรายงานกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ 995 ล้านเยน (ประมาณ 230 ล้านบาท) ลดลง 99% (YOY) และได้แก้ไขประมาณการกำไรของทั้งปีงบฯ 2024 ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2025 ด้วย โดยคาดว่ากำไรจะเหลือ 500,000 ล้านเยน (ประมาณ 117,220 ล้านบาท) ลดลง 12% จากปีก่อนหน้า (YOY)
ส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit) ลดลง 73% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) เหลือ 28,500 ล้านเยน (ประมาณ 6,680 ล้านบาท)
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินงานที่แย่ลงในไตรมาสดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากอุปสรรคปัญหาในตลาดสหรัฐ การใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นสำหรับการส่งเสริมการขาย ทำให้กำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสดังกล่าวลดลง 110,400 ล้านเยน (ประมาณ 25,880 ล้านบาท) โดยมากกว่า 23,700 ล้านเยน (ประมาณ 5,560 ล้านบาท) ที่ลดลงนั้นเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินเยน (หมายเหตุ : เนื่องจากนำเงินเยนจากสำนักงานใหญ่ญี่ปุ่นไปใช้ในสหรัฐขณะที่เงินเยนอ่อนค่าอย่างมาก)
มาโกโตะ อุชิดะ (Makoto Uchida) ซีอีโอของนิสสันชี้แจงในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมว่า สินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐและยอดขายที่ลดลงเกินคาด ส่งผลให้นิสสันต้องใช้ส่งเสริมการขายมากขึ้น

นิกเคอิรายงานอิงข้อมูลจากบริษัทวิจัย มาร์กไลน์ส (MarkLines) ว่า ยอดขายรถยนต์ของนิสสันในสหรัฐในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2024 อยู่ที่ 230,000 คัน ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) แต่ในทางตรงกันข้าม ยอดขายของโตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) เพิ่มขึ้น 9% เป็น 620,000 คัน และยอดขายของ ฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) เพิ่มขึ้น 3% เป็น 350,000 คัน
นอกจากนั้น นิกเคอิรายงานว่านิสสันกำลังตามหลังบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่นรายอื่น ๆ เนื่องจากไม่มีการเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐ ขณะที่รถยนต์ไฮบริดกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ทั้งในตลาดสหรัฐและตลาดโลกตั้งแต่ปี 2023 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทำให้ดีมานด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาสูงลดน้อยลง ทั้งนี้ โตโยต้าครองส่วนแบ่งรถยนต์ไฮบริดทั่วโลกประมาณ 60% ขณะที่ฮอนด้าก็มียอดขาย CR-V ไฮบริดที่แข็งแกร่ง
เนื่องจากไม่มีตัวรถยนต์ไฮบริดขายในตลาดสำคัญสหรัฐ จำนวนวันเก็บสินค้าคงคลัง (ระยะเวลาเก็บสินค้าไว้ในคลังก่อนขาย) ของนิสสัน (ระยะเวลาที่จะเก็บสินค้าคงคลังก่อนขาย) จึงมากกว่าเพื่อน โดยอยู่ที่ 55 วัน ณ เดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ของโตโยต้าอยู่ที่ 27 วัน และฮอนด้า 49 วัน
การไม่มีรถไฮบริดยังส่งผลต่อราคาขายของนิสสัน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มผลกำไร อิงตามข้อมูลของ คอกซ์ ออโตโมทีฟ (Cox Automotive) บริษัทผู้ขายรถยนต์ในสหรัฐ ราคาซื้อขายเฉลี่ยของรถยนต์นิสสันในสหรัฐลดลง 4% จากปีที่แล้ว เป็น 34,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,226,720 บาท) ในเดือนมิถุนายนปีนี้ ในทางตรงกันข้ามราคาเฉลี่ยของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 5% เป็น 41,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,479,280 บาท)
ราคาขายต่อหน่วยที่ลดลงเมื่อบวกกับการใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ของนิสสันเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ นิสสันให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกามากขึ้น และจะไม่เปิดตัวรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐจนกว่าจะถึงปี 2026 เป็นอย่างน้อย
สำหรับตอนนี้ นิสสันวางแผนเปิดตัวรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่หลายรุ่นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งซีอีโออุชิดะกล่าวว่า “การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และรุ่นที่ปรับปรุงใหม่จะช่วยเพิ่มยอดขาย”
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ นิสสันจึงได้ปรับลดประมาณการยอดขายทั่วโลกสำหรับปีงบการเงิน 2024 ลงแล้ว 50,000 คัน เหลือ 3.65 ล้านคัน จากประมาณการเดิม 3.70 ล้านคัน ก่อนหน้านี้ นิสสันประมาณการยอดขายทั่วโลกไว้ที่ 4 ล้านคันในปีงบการเงิน 2023 แต่ได้ปรับลดประมาณการลงเหลือ 3.44 ล้านคัน