
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
จีดีพีของจีนไตรมาส 2 ปี 2024 ซึ่งขยายตัวเพียง 4.7% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 5.1% และน้อยกว่าไตรมาสแรกซึ่งขยายตัว 5.3% ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในยุโรปที่เป็นคู่ค้าจีน สินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่พวกแบรนด์เนมไปจนถึงรถยนต์ ล้วนแต่เจอผลกระทบอย่างจัง และในอนาคตก็ส่อเค้าว่าจะลำบากขึ้นไปอีกสำหรับธุรกิจใดก็ตามที่พึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้สินค้ายุโรป โดยเฉพาะพวกแบรนด์เนมหรูหรา ฝากความหวังด้านยอดขายไว้กับตลาดจีนที่มีกำลังซื้อสูง แต่เมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมาก ได้สร้างแรงกดดันให้กับแบรนด์เหล่านี้
บลูมเบิร์กรายงานว่า LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือยของฝรั่งเศส คือรายชื่อล่าสุดที่อยู่ในกลุ่มที่มียอดขายลดต่ำลงอันเนื่องมาจากกำลังซื้อในจีนอ่อนแอลง หลังจากก่อนหน้านี้ ฮูโก บอส (Hugo Boss) เบอร์เบอร์รี่ กรุ๊ป (Burberry Group) และเดมเลอร์ ทรัก โฮลดิ้ง ที่ล้วนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ต่างได้รับผลกระทบจากการระมัดระวังการใช้จ่ายของผู้บริโภคไปแล้วเช่นกัน
โดย LVMH ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ในเอเชีย (รวมจีนแต่ไม่รวมญี่ปุ่น) ลดลง 14% ส่งผลให้ราคาหุ้นของ LVMH ในปารีสลดลง 5% หลังจากรายงานผลประกอบการไตรมาสดังกล่าว ทำให้รวมแล้วในรอบ 12 เดือน ราคาหุ้น LVMH ลดลงถึง 23%
การใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้ายุโรปที่น้อยลง ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อกำไร ราคาหุ้น มูลค่าบริษัท และแม้กระทั่งต่อการจ้างงาน ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องทบทวนการดำเนินงานใหม่ อย่างเช่น สวอตช์ กรุ๊ป (Swatch Group) ผู้ผลิตนาฬิกายักษ์ใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ มียอดขายในจีนลดลง 30% ในครึ่งแรกของปี 2024 จึงประกาศจะลดกำลังการผลิตลง 20-30% แต่ยังไม่ลดคนงานในสวิตเซอร์แลนด์ เพราะต้องการเตรียมความพร้อมเพิ่มการผลิตหากตลาดจีนฟื้นตัว ถึงแม้จะไม่คาดหวังว่าปีนี้จีนจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม
นักกลยุทธ์การลงทุนจากโกลด์แมน แซกส์ แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นยุโรปที่พึ่งพายอดขายในจีนมากเกินไป และให้ซื้อหุ้นที่พึ่งพายอดขายในสหรัฐอเมริกาแทน
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในยุโรปถือว่าเยอรมนีมีความเปราะบางเป็นพิเศษต่อการถดถอยลงของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากเยอรมนีส่งออกไปจีนคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการส่งออกไปจีนทั้งหมดของสหภาพยุโรป
นอกจากจีนจะเป็นตลาดใหญ่สำหรับสินค้ายุโรปแล้ว ในอีกด้านหนึ่งจีนก็สร้างปัญหาให้กับผู้ผลิตในยุโรปเช่นกัน เพราะในอีกสถานะหนึ่งจีนกลายเป็นคู่แข่งที่คุกคามผลกำไรของหลายภาคส่วนในยุโรป ตั้งแต่สินค้าประเภทเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงเคมีภัณฑ์
เมื่อมีสถานะเป็นคู่แข่ง ก็ทำให้สหภาพยุโรปขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะหาข้อยุติสุดท้ายได้ ความไม่แน่นอนดังกล่าวกระทบต่อรายได้ของวอลโว่ จึงประกาศลดคาดการณ์ยอดขายปีนี้ลง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าของวอลโว่ผลิตในจีน เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดานักลงทุนในตลาดหุ้นก็มักจะดูว่ามีบริษัทยุโรปใดบ้างที่อ่อนไหวต่อการส่งออกไปจีน หรือเกี่ยวข้องกับจีนในสัดส่วนที่สูง
การประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 3 เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นการประชุมที่มีความสำคัญ เพราะจัดเพียง 1 ครั้งต่อ 5 ปี สร้างความผิดหวังให้นักลงทุนต่างชาติ เพราะถึงแม้จะประกาศมาตรการที่เป็นมิตรต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่กลับแทบไม่แสดงความเร่งด่วนที่จะกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ หรือหยุดยั้งการดิ่งลงของภาคอสังหาริมทรัพย์ นั่นหมายถึงว่าบริษัทยุโรปที่เคยได้รับประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรืองของจีน มีแนวโน้มจะเผชิญกับการถดถอยลงของกำลังซื้อผู้บริโภคจีนต่อไปอีกเรื่อย ๆ
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่ธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดก็จริง แต่มีแนวโน้มว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจำกัด เพราะการลดเพียง 0.1% ถือว่าไม่เพียงพอจะพลิกสถานการณ์ ดังนั้น นักลงทุนก็จะรอจนกว่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน