
กระทรวงการคลังของอินเดียนำเสนอแผนงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2024 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับการลงทุน โดยเป็นข่าวร้ายสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ในตลาดเงินตลาดทุน และข่าวดีสำหรับการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง
แผนงบประมาณประจำปีงบฯ 2024 ของอินเดีย ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2025 ประมาณการการใช้จ่ายงบประมาณ 48.21 ล้านล้านรูปี (ประมาณ 20.83 ล้านล้านบาท) ธีมของแผนงบประมาณมุ่งเน้นไปที่การจ้างงาน, การพัฒนาทักษะแรงงาน, วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อย (MSME) และคนชั้นกลาง
อินเดียจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายงบประมาณใน 9 ประเด็น ได้แก่ ผลิตภาพและความทานทนต่อปัญหาต่าง ๆ ในภาคเกษตรกรรม, การจ้างงานและการพัฒนาทักษะ, การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างครอบคลุม และความยุติธรรมทางสังคม, การผลิตและการบริการ, การพัฒนาเมือง, ความมั่นคงทางพลังงาน, โครงสร้างพื้นฐาน, นวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา และการปฏิรูป (Next Generation Reforms) ที่เน้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าที่จะลดการขาดดุลงบประมาณปีงบฯ 2024 ลงเหลือ 4.9% ของจีดีพี จากปีก่อนหน้าขาดดุล 5.1% และจะให้เหลือ 4.5% ในปีงบประมาณ 2025 จากนั้นเป้าหมายสำหรับปีงบประมาณ 2026-2027 ของรัฐบาลอินเดีย คือ การคงระดับวงเงินการขาดดุลการคลังในแต่ละปีเอาไว้ที่ระดับเทียบเท่าปีงบประมาณ 2025 เพื่อให้ระดับสัดส่วนหนี้ของรัฐบาลกลางต่อจีดีพีลดลง
แม้ว่าเงินปันผลจากธนาคารกลางจะช่วยรัฐบาลอินเดียลดการขาดดุลงบประมาณได้ แต่เพื่อที่จะลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ตามเป้า รัฐบาลอินเดียยังจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในหลายด้าน
ค่าใช้จ่ายส่วนที่จะลดลงนั้นรวมถึงลดการใช้เงินอุดหนุนในการลดค่าครองชีพของประชาชน อย่างเช่น ยกเลิกการอุดหนุนราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งการที่รัฐบาลอินเดียยอมลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่จะกระทบคะแนนนิยม แสดงให้เห็นถึงการต้องประนีประนอมของรัฐบาลอินเดีย หลังจากที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์
ในอีกทางหนึ่ง รัฐบาลอินเดียต้องหารายได้เข้าคลังให้ได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งในแผนการหาเงินคือ ขึ้นอัตราภาษี ซึ่งแผนงบประมาณระบุว่า จะเพิ่มอัตราภาษีจากกำไรจากทุนระยะยาว (Long-Term Capital Gains) ทั้งจากสินทรัพย์ทางการเงินและไม่ใช่การเงิน จากเดิมเก็บในอัตรา 10% เพิ่มเป็นอัตรา 12.5% และภาษีจากกำไรจากทุนระยะสั้น (Short-Term Capital Gains) จะเพิ่มเป็นอัตรา 20% จากเดิมเก็บอัตรา 15% นอกจากนั้นยังเพิ่มอัตราภาษีธุรกรรมการซื้อขายอนุพันธ์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้วย
นั่นเป็นข่าวร้ายของนักลงทุนในตลาดทุนอินเดีย ซึ่งได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นตลาดทุนแห่งอนาคตที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีมากอันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโตได้เฉลี่ยปีละ 7%
ส่วนข่าวดีเป็นของฝั่งการลงทุนในเรียลเซ็กเตอร์หรือภาคเศรษฐกิจจริง เนื่องจากแผนงบประมาณอินเดียให้การลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจสตาร์ตอัพ และบริษัทต่างชาติ ไปจนถึงลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับชนชั้นกลาง
รัฐบาลอินเดียยกเลิกการเก็บภาษีจาก Angel Investor หรือนักลงทุนที่เปรียบเหมือนนางฟ้าใจดีในโลกสตาร์ตอัพ เพื่อหนุนอีโคซิสเต็มของสตาร์ตอัพที่กำลังเติบโตในอินเดีย
ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทต่างชาติลดลงจากอัตรา 40% เหลือ 35% เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลอินเดียที่จะบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้ได้ 110,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในช่วง 7 ปีจากนี้
อ้างอิง :