โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย ไม่เพียงถูกจับตามองโดยคนในประเทศเท่านั้น แต่ในต่างประเทศก็เป็นที่จับตามองเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมกาสิโน ซึ่งมีการจับตามองและประเมินทั้งในแง่โอกาสและผลกระทบ
จากการที่ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สืบค้นข่าวและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพบว่าสื่อเฉพาะทางด้านการเล่นเกมการพนันและกาสิโนมีการรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทยกันเป็นจำนวนมาก และจากข่าวเหล่านั้น พบว่ามีบริษัทผู้ประกอบธุรกิจกาสิโนจากต่างประเทศอย่างน้อย 5 รายที่สนใจการทำธุรกิจกาสิโนในไทย โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทมากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกาสิโนจากมาเก๊า
ความสนใจในโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทยยังสะท้อนให้เห็นได้การจัดทำรายงานและบทวิเคราะห์ออกมาอย่างจริงจังด้วย ล่าสุดที่มีการนำข้อมูลมาอ้างอิงกันในบรรดาสื่อเฉพาะทางด้านเกมการพนันกันมากที่สุด คือ รายงานเชิงลึกที่จัดทำโดยบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (CLSA) จากฮ่องกงซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ในรายงานดังกล่าว CLSA มองว่า อุตสาหกรรมกาสิโนของไทยจะขับเคลื่อนโดย “ผู้เล่นชาวต่างชาติ” เป็นส่วนใหญ่
CLSA คาดการณ์ว่า รายรับรวมจากการเล่นเกม (GGR) ของอุตสาหกรรมกาสิโนไทยจะอยู่ในช่วง 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 30,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 301,000 ล้านบาท ถึง 1,090,700 ล้านบาท) โดยคาดการณ์กรณีฐาน (กรณีปกติไม่มีปัจจัยเหนือคาด) จะอยู่ที่ประมาณ 15,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 534,740 ล้านบาท)
นอกจากนั้น CLSA วิเคราะห์ว่า การเปิดกาสิโนถูกกฎหมายของประเทศไทยจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาสิโนในมาเก๊าเท่าไรนัก แต่กลับเป็นโอกาสมากกว่า หากผู้ประกอบการจากมาเก๊าสามารถคว้าใบอนุญาตเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยได้
ในรายงานของ CLSA เปิดเผยด้วยว่า มีบริษัทผู้รับสัมปทานกาสิโนในมาเก๊า 4 ราย (จากทั้งหมด 6 ราย) ที่สนใจจะร่วมประมูลใบอนุญาตเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทย ได้แก่ กาแลกซี่ เอนเตอร์เทนเมนต์ (Galaxy Entertainment Group), เอ็มจีเอ็ม ไชน่า (MGM China), แซนด์ส ไชน่า (Sands China) และ วินน์ มาเก๊า (Wynn Macau)
ทั้งนี้ ใน 4 รายชื่อบริษัทจากมาเก๊าที่ถูกกล่าวถึงนั้น มีอย่างน้อยหนึ่งเจ้าที่ผู้บริหารเอ่ยปากยืนยันเองแล้ว นั่นคือ เอ็มจีเอ็ม ไชน่า
บิลล์ ฮอร์นบักเคิล (Bill Hornbuckle) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานบริษัท เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ตส อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิงส์ (MGM Resorts International Holdings, Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ็มจีเอ็ม ไชน่า ได้แจ้งต่อนักลงทุนในระหว่างการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2024 เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เอ็มจีเอ็มสนใจตั้งกิจการกาสิโนในประเทศไทย และวางแผนจะเดินทางมาเยือนประเทศไทยภายในเดือนสิงหาคมนี้เพื่อสำรวจโอกาสและความเป็นไปได้ พร้อมบอกรายละเอียดว่า หากในที่สุดแล้วบรรลุข้อตกลง กิจการกาสิโนในไทยจะดำเนินการโดยบริษัทลูก คือ เอ็มจีเอ็ม ไชน่า
ก่อนหน้านี้ ซีอีโอของ เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ตส เคยแสดงความสนใจการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไว้ในรายงานผลประกอบการของบริษัทด้วยว่า “ต้นทุนในการทำธุรกิจในประเทศไทยและอัตรากำไรที่สามารถทำได้นั้นน่าสนใจมาก”
นอกจากยักษ์ใหญ่จากมาเก๊าแล้ว ยักษ์ใหญ่อีกรายที่ปรากฏชื่อเป็นเจ้าแรก ๆ ว่าสนใจเข้ามาไทยมาจากประเทศเพื่อนเพื่อนร่วมอาเซียน คือ “เก็นติ้ง สิงคโปร์” (Genting Singapore) เจ้าของ “รีสอร์ตส เวิลด์ เซนโตซา” (Resorts World Sentosa) ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือทุนใหญ่มาเลย์ “เก็นติ้ง มาเลเซีย” (Genting Malaysia)
ตามที่มีข้อมูลในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบต่อกาสิโนในมาเลเซียและสิงคโปร์กรณีหากไทยมีกาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งจัดทำโดย “เมย์แบงก์ อินเวสเมนต์ แบงก์” (Maybank Investment Bank) ที่เผยแพร่ออกมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมว่า แม้ว่าเก็นติ้ง สิงคโปร์ เป็นผู้เล่นที่จะได้รับผลกระทบหากไทยมีกาสิโน แต่ผลกระทบอาจจะไม่มาก เพราะเก็นติ้ง สิงคโปร์ ก็แสดงความสนใจที่จะประมูลใบอนุญาตตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทยด้วย