คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
จีนกำลังประสบปัญหาด้านการค้าอยู่กับนานาประเทศแทบทั่วทุกมุมโลก ด้วยเหตุที่ว่า หลายอุตสาหกรรมของประเทศมีกำลังการผลิตล้นเกินความต้องการของตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ผลผลิตส่วนที่เกินจากความต้องการนี่เองที่กลายเป็นปัญหา ก่อให้เกิดวิกฤตที่สามารถทำลายอุตสาหกรรมนั้น ๆ ลงได้ในที่สุด
วิกฤตทำนองเดียวกันนี้ กำลังเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมที่เรียกกันว่า กลุ่มอุตสาหกรรม “คลีน เทคโนโลยี” ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และผู้ผลิตชุดโซลาร์เซลล์ ทั้งที่เป็นแผงและอุปกรณ์ประกอบ
รายงานของโกลด์แมน แซกส์ ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ราคาของรถอีวี และโซลาร์เซลล์ ภายในประเทศจีนลดลงอย่างฮวบฮาบ ราคาของรถอีวีในจีนลดลงเกือบ 22% ขณะที่แผงโซลาร์เซลล์ลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับราคาตอนต้นปี 2023
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาลดลงอย่างฮวบฮาบเช่นนั้น เป็นเพราะบรรดาผู้ผลิตรถอีวี และผู้ผลิตโซลาร์เซลล์ จำเป็นต้องเปิดฉากทำ “สงครามราคา” ขึ้น เพื่อระบายผลผลิตออกไปให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุด
ปัญหาก็คือ “ราคา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาของรถอีวีในจีน ได้ลดต่ำลงจนเกินกว่าที่หลายต่อหลายบริษัทจะแบกรับได้ ในที่สุดก็จำเป็นต้อง “ปิดกิจการ” ล้มละลายเพราะไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้อีกต่อไป
ส่งผลให้เกิดความวิตกว่า กระแสของการล้มละลายอาจแผ่ขยายกว้างออกไปเหมือนระลอกคลื่น ครอบคลุมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม
ที่ผ่านมา “สงครามราคา” ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ผลิตรถอีวีของจีนจำนวนหนึ่งต้องยุติกิจการไปแล้ว รวมทั้งผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างดับเบิลยูเอ็ม มอเตอร์ ที่ต่อสู้กับสงครามราคามาเกือบตลอดปี 2023 จนทนไม่ไหว
ว่ากันว่า อุตสาหกรรมรถอีวีของจีน ผ่านการปรับเปลี่ยนมาแล้วหลายระลอก มีทั้งการควบรวมกิจการ ยุติกิจการ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้หลงเหลือบริษัทผู้ผลิตจริง ๆ เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อีวี ที่เคยมีมากกว่า 200 บริษัทเมื่อปี 2019 เท่านั้นเอง
อุตสาหกรรมการผลิตชุดโซลาร์เซลล์ ก็เผชิญชะตากรรมในทำนองเดียวกัน หลายบริษัทยื่นขอล้มละลาย โดยอาศัยเหตุผลว่า ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หลังจากมีเม็ดเงินเพื่อการลงทุนไหลเข้ามาสู่อุตสาหกรรมนี้ครั้งใหญ่เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา
บางบริษัทในกลุ่มคลีน เทคโนโลยี ตกอยู่ในสภาพเหมือน “ซอมบี้” เพราะรัฐบาลระดับมณฑล ไม่ต้องการให้กิจการที่เป็นหน้าเป็นตาของท้องถิ่นต้องปิดกิจการไป บีบให้บริษัทจำเป็นต้องดำเนินกิจการต่อ แม้จะไม่สามารถทำกำไรใด ๆ ได้ กลายเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการเพียงเพื่อชำระหนี้รายเดือนกับจ่ายเงินเดือนให้พนักงานไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง
ผลผลิตส่วนเกินที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมกลุ่ม “คลีน เทคโนโลยี” ของจีนในเวลานี้มีมากมายมหาศาล ตัวอย่างเช่น ในกรณีของชุดโซลาร์เซลล์นั้นประเมินกันว่า ผลผลิตที่จีนมีอยู่ในเวลานี้ สามารถตอบสนองความต้องการชุดโซลาร์เซลล์ของทั้งโลกได้ถึง 200%
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของจีนถึงได้เพิ่มสูงขึ้นมหาศาล ซึ่งนับเป็นผลดีในเชิงสิ่งแวดล้อมต่อสาธารณะ
ในทำนองเดียวกัน สงครามราคาของรถอีวี ก็ทำให้ชาวจีนหันมาใช้รถอีวีกันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนรุ่นใหม่กันเป็นว่าเล่น จนเกิดป่าช้ารถอีวีให้เห็นกันแล้วที่จีน
ในทางทฤษฎี มีความเป็นไปได้ว่า ถึงที่สุดแล้วก็จะหลงเหลือ บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่รายที่สามารถครอบงำตลาดได้ และดึงระดับราคากลับมาสู่ระดับที่สมเหตุสมผลอีกครั้ง
แต่ในทางปฏิบัติจริง สถานการณ์ดังกล่าวยังยากที่จะเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีนยังอยู่ในสภาพน่าวิตก และไม่กระตุ้นให้เกิดการบริโภคขึ้นภายในประเทศ
ผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุด ชาวจีนเพียงแค่ 39% เท่านั้นที่คิดว่า ตนเองมีสถานะทางการเงินดีขึ้นกว่าเมื่อ 5 ปีก่อน เทียบกับ 77% ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตโควิด และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ขึ้นในประเทศ
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมในกลุ่มคลีน เทคโนโลยี จึงไม่เพียงมีนัยสำคัญต่อกลุ่มอุตสาหกรรมเองเท่านั้น หากแต่สามารถส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีนในระยะยาวอีกด้วย