น้ำมัน 100 ดอลลาร์ กลับมา “หลอกหลอน”

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง สัปดาห์ก่อนราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ซึ่งใช้อ้างอิงสำหรับการซื้อขายระหว่างประเทศ ปรับขึ้นเหนือ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสั้น ๆ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับจากเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ราคาขึ้นมาแตะระดับนี้ ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ก็ขยับขึ้นไปเกิน 72 ดอลลาร์ ทำให้นักวิเคราะห์บริษัทใหญ่ ๆ เริ่มออกมาแสดงความกังวลว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นราคาน้ำมันทะลุไปถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง และนั่นหมายความว่าไม่ดีต่อทั้งเศรษฐกิจอเมริกาและโลก

นักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอส อินเวสต์เมนต์ แบงก์ ระบุว่า ราคาน้ำมันที่น่าปรารถนาและจะส่งผลดีและส่งเสริมเศรษฐกิจโลกคือ ช่วงระหว่าง 50-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันราคาได้ขยับขึ้นเกินช่วงดังกล่าวไปแล้วและก็ขยับเข้าใกล้ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเข้าไปทุกขณะ ซึ่งหากถึงระดับนั้นจะน็อกการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีหน้าทันที

เดิมยูบีเอสคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะขยายตัว 4% แต่ถ้าหากราคาน้ำมันแตะ 100 ดอลลาร์ การเติบโตจีดีพีโลกก็จะเหลือเพียง 3.86% และอัตราเงินเฟ้อโลกก็จะเกิน 4% เพิ่มจากที่เคยคาดไว้ 3.1% อันจะทำให้ความสามารถในการจับจ่ายของผู้บริโภคลดลง

“แต่ละประเทศจะได้รับผลกระทบราคาน้ำมันแตกต่างกันไป และแน่นอนว่าสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ”

ยูบีเอสฯชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นต่อไปอีกจากหลายเหตุผล ทั้งจากการที่กลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (โอเปก) รัสเซียและผู้ผลิตอื่น จะลดกำลังการผลิตลง ที่อาจทำให้สต๊อกน้ำมันลดลง นอกจากนี้ยังถูกซ้ำเติมจากการที่สหรัฐอเมริกาแซงก์ชั่นอิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งล้วนเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน จะทำให้ปริมาณน้ำมันหายไปจากตลาดโลกจำนวนหนึ่ง สร้างความไม่แน่นอนต่อปริมาณน้ำมันในตลาดโลกในอนาคต

ส่วนประเด็นที่ว่า เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น จะจูงใจให้ผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐผลิตออกมามากขึ้นนั้น ยูบีเอสเห็นว่า แม้สหรัฐจะผลิตเพิ่มขึ้นแต่จะไม่ทันต่อความต้องการของโลก เชื่อว่าการที่บริษัทขุดเจาะน้ำมันรายใหญ่ลงทุนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันในตลาดโลกปีหน้า

อีกสำนักหนึ่งที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะถึง 100 เหรียญในปีหน้าก็คือ แบงก์ออฟ อเมริกา (บีโอเอฟเอ) โดยภายในปีนี้เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์จะไปถึงระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปีหน้าอาจขยับไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐแซงก์ชั่นอิหร่าน

ทางด้าน “เจฟฟรีย์ เคอร์รี” นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซกส์ เชื่อมั่นว่าราคาน้ำมันจะยังขยับขึ้นไปได้อีก แม้ว่าความกังวลของนักลงทุนในประเด็นที่ดอกเบี้ยสหรัฐปรับสูงขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตน้อยลง กระทั่งทำให้นักลงทุนลดการลงทุนสินค้าน้ำมัน แต่จากดัชนีโภคภัณฑ์ที่จัดทำโดยโกลด์แมน แซกส์ บ่งชี้ว่า ใน 12 เดือนข้างหน้าน้ำมันจะให้ผลตอบแทน 8% เพิ่มจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 5% และตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 10 ปี ดังนั้นนักลงทุนที่ล่าถอยไปอาจพลาดโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนงาม

นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซกส์ บอกอีกว่า น้ำมันดิบเบรนต์และ WTI เพิ่มขึ้นเกิน 51% และ 45% ตามลำดับในปีที่แล้ว และมีช่องว่างที่จะปรับเพิ่มได้อีก กล่าวได้ว่าพื้นฐานของราคาน้ำมันอยู่ในภาวะกระทิง เนื่องจากมีความต้องการสูง แต่ปริมาณที่มีให้ไม่สอดคล้องกัน ขณะเดียวกันคนทั่วโลกจะไม่หยุดบริโภคสินค้าจำเป็น อย่างข้าวโพด ทองแดง และน้ำมัน เพียงเพราะกังวลเรื่องดอกเบี้ยสูงหรือเศรษฐกิจจะเติบโตน้อยลง

ส่วนกรณีที่โอเปกอาจลดกำลังการผลิตต่อไป ก็ไม่น่าจะมีผลให้ราคาน้ำมันลดลง เพราะในอดีตเมื่อลดกำลังการผลิตไปแล้วโอเปกไม่เคยสามารถผลิตน้ำมันให้ทันความต้องการของตลาดได้ทันท่วงทีเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว สิ่งที่มักเกิดขึ้นเสมอคือน้ำมันไม่เพียงพอ