
เหลือเดือนตุลาคมอีกแค่เดือนเดียว การเลือกตั้งผู้นำสหรัฐอเมริกาที่ทั่วโลกต่างจับตามอง กำหนดเปิดฉากวันที่ 5 พฤศจิกายน “ประชาชาติธุรกิจ” ชวนเปรียบเทียบแผนเศรษฐกิจของตัวแทนจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตที่งัดมาประชันกัน จากการรวบรวมของสำนักข่าวต่างประเทศ รอยเตอร์ (Reuters) เอพี (AP) ซีเอ็นเอ็น (CNN) และซีเอ็นบีซี (CNBC)
ประกาศแผนใหญ่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์
คู่แข่งขันต่างก็เลือกรัฐสมรภูมิแข่งดุ หรือสะวิงสเตต โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในการแข่งขันตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เลือกเมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจีย ที่ตั้งหนึ่งในท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และฮับการผลิตรถยนต์ ในการประกาศแผน “ฟื้นฟูการผลิต” เป็นหัวใจสำคัญต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนใหญ่ต่อยอดนโยบายเก่าสมัยเป็นประธานาธิบดีและนโยบายหาเสียงปี 2016 และ 2020
ทรัมป์มองตัวเองเป็นผู้ลดกฎการทำธุรกิจ โดยให้คำมั่นที่จะลดกฎระเบียบ 10 ข้อต่อกฎใหม่ 1 ข้อ จากเมื่อปี 2016 ที่ทรัมป์ให้คำมั่นยกเลิกกฎระเบียบเก่า 2 ข้อ ต่อกฎใหม่ 1 ข้อ และวาดภาพคู่แข่งเป็น “คอมมิวนิสต์”
ในขณะที่ คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ นำเสนอแผนเศรษฐกิจภายใต้คอนเซ็ปต์ “America Forward” หรือ “อเมริกาก้าวไปข้างหน้า” ส่วนใหญ่ต่อยอดนโยบายไบเดนในแง่ขนาดและขอบเขต มองตัวเองเป็นแคนดิเดตชนชั้นกลาง-ล่าง วาดภาพคู่แข่งเป็น “แคนดิเดตแห่งชนชั้นมหาเศรษฐี”
แฮร์ริสเลือกหาเสียงในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งตามประวัติศาสตร์การเมือง นับตั้งแต่ปี 1948 เป็นต้นมา ไม่มีแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตคนไหนเลยที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้โดยไม่ชนะในรัฐนี้ เธอประกาศก้องทุ่ม 100,000 ล้านเหรียญ (ราว 3.2 ล้านล้านบาท) หนุนการลงทุนภาคการผลิตและเทคโนโลยีเกิดใหม่ อาทิ เช่น ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ
ภาษีศุลกากร
ทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุม 10% ถึง 20% สำหรับสินค้านำเข้าเกือบทั้งหมด และจะเรียกเก็บภาษี 60% หรือมากกว่านั้นสำหรับสินค้าจากจีน ทั้งนี้ เก็บภาษี 100% สำหรับรถยนต์ทุกคันที่นำเข้ามาผ่านทางชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก สะท้อนภาษีศุลกากรยังคงเป็นธีมหลักสำหรับแผนทางเศรษฐกิจของทรัมป์
ภาษีธุรกิจ
ตัวแทนพรรครีพับลิกันเสนอลดภาษีธุรกิจจาก 21% เหลือ 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐ ขณะที่ตัวแทนเดโมแครตเพิ่มอัตราภาษีเป็น 28% จาก 21%
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แฮร์ริสเสนอเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดจาก 37% เป็น 39.6% และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นต่ำใหม่เป็นอัตรา 25% สำหรับผู้ที่มีเงินได้รวมเกิน 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,200 ล้านบาท) แต่ไม่ขึ้นภาษีครัวเรือนที่มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13 ล้านบาท)
เครดิตภาษี
ตัวแทนพรรคเดโมแครตเสนอเครดิตภาษีธุรกิจขนาดเล็ก เพิ่มการลดหย่อนภาษีสูงสุดเป็น 50,000 ดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านบาท) แก่ธุรกิจขนาดเล็กแห่งใหม่ และวางแผนให้เครดิตภาษีเด็ก 3,600 ดอลลาร์ (ราว 116,000 บาทต่อคน) ตลอดจนเครดิตภาษีบ้านหลังแรก 25,000 ดอลลาร์ (ราว 810,000 บาท) ในขณะที่ตัวแทนรีพับลิกันประกาศการขยายเวลาการลดหย่อนภาษี
อื่น ๆ ที่สองฝ่ายนำมาประชัน
กรณีทรัมป์เสนอจำกัดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็น 10% อีกทั้งตั้งทูตด้านการผลิตระดับโลก และสร้างเขตภาษีต่ำโดยใช้ที่ดินส่วนกลาง เพื่อดึงดูดบริษัทต่างชาติไม่ว่าจากพันธมิตรหรือคู่แข่งอย่างจีนให้มาลงทุนในประเทศ นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายฟื้นฟูการผลิต ทรัมป์ได้เสนอไอเดียสร้างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ตลอดจนตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของรัฐบาลกลาง โดยมีนายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีพันล้าน ผู้ออกไอเดียนั่งเป็นประธาน
แฮร์ริสวางแผนบังคับใช้กฎหมายรัฐบาลกลางเอาผิดบริษัทที่โก่งราคาอาหารและของชำ นอกจากนี้ ทรัมป์ไม่เก็บภาษีค่าล่วงเวลา ทิป รายได้ประกันสังคม คล้ายแฮร์ริส
ผลต่องบประมาณกลางในอนาคต
ตามนโยบายของทรัมป์อาจทำให้ขาดดุลงบประมาณกลางเพิ่มขึ้นอีกราว 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ถึง 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 117 ล้านล้านบาท ถึง 215 ล้านล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และในทางตรงกันข้าม กรณีแฮร์ริสอาจเพิ่มการขาดดุลงบประมาณน้อยกว่าทรัมป์ หรืออาจจะลดการขาดดุลงบประมาณลง 400,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 13 ล้านล้านบาท) จนถึงอาจจะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 45 ล้านล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและจัดการประเด็นค่าครองชีพ ถือเป็นปัญหาอันดับต้นที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยโพลที่สำรวจโดยรอยเตอร์/อิพซอสในระหว่างวันที่ 20-22 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 43% เลือกทรัมป์ในเรื่องเศรษฐกิจและการจ้างงาน ในขณะที่ 41% เลือกแฮร์ริส ทั้งนี้ โพลมีความคลาดเคลื่อนประมาณ 4 จุด
ขณะที่โพลเอ็นบีซีนิวส์ (NBC News) พบว่าการรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริสในด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เข้าถึงและโน้มน้าวใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ส่วนหนึ่งแล้ว โดยไปลดคะแนนนำของทรัมป์ที่มีเหนือ โจ ไบเดน 22 แต้ม ในเดือนมกราคม 2024 ให้เหลือนำแฮร์ริสเพียง 9 แต้ม ซึ่งสำหรับโหวตเตอร์ที่ยังไม่ตัดสินใจในรัฐสะวิงสเตตอย่างเพนซิลเวเนียอาจพลิกผลเลือกตั้งได้เลย