แสงสว่างจะมาวันไหน ? เมื่อธุรกิจเกือบทั่วโลกหวังพึ่งจีน แต่จีนเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอด

ศูนย์การค้าในย่านลู่เจียจุ่ย ย่านการเงินของจีน ในมหานครเซี่ยงไฮ้
บรรยากาศศูนย์การค้าในย่านลู่เจียจุ่ย ซึ่งเป็นย่านการเงินของจีน ในนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 (ภาพโดย HECTOR RETAMAL / AFP)

หากอ่านหรือฟังการวิเคราะห์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจและธุรกิจ ไม่ว่าจะในแอเรียของประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เอเชีย หรือยุโรป ก็จะพบว่ามี “เศรษฐกิจจีน” เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ

การทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทในยุโรปในช่วงนี้ฉายภาพชัดถึงความสำคัญของเศรษฐกิจจีนที่มีต่อธุรกิจยุโรป เพราะได้เห็นว่ายักษ์ใหญ่เจ็บกันไปหลายเจ้า

อาณาจักรสินค้าหรู “แอลวีเอ็มเอช” (LVMH) จากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าหรู 75 แบรนด์ รวมทั้ง หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) และดิออร์ (Dior) รายงานรายได้ลดลง 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) เป็นผลมาจากยอดขายในจีนที่ลดลงถึง 16%

เพอร์นอต ริคาร์ด (Pernod Ricard) บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายยักษ์จากฝรั่งเศสรายงานยอดขายต่ำกว่าประมาณการ โดยระบุเหตุผลว่าเป็นผลมาจากดีมานด์ที่ลดลงในตลาดหลักอย่างจีนและสหรัฐ โดยยอดขายในจีนลดลงมากถึง 26% (YOY) และคาดว่ายอดขายในจีนในปีงบการเงินนี้จะลดลง 10%

ผู้ผลิตนาฬิกาสัญชาติสวิส เป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังลำบากจากการที่ยอดขายในจีนหดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยอดส่งออกนาฬิกาและกลไกนาฬิกาไปจีนลดลงถึง 50% (YOY) ขณะที่ยอดส่งไปฮ่องกงลด 35% ส่งผลให้ยอดขายรวมลดลง 12.4%

ส่วนบริษัทที่ยังไม่ได้ประกาศผลการดำเนินงานก็มีข้อมูลว่า ในสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคม นักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการผลกำไรของบริษัทยุโรปลงไปมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เศรษฐกิจภายในยุโรปเองยังอ่อนแอ ดังนั้น จึงยากที่จะปรับประมาณการผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นได้ หากจีนยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เห็นเป็นรูปธรรมว่าจะฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ

ADVERTISMENT

เรื่องเศร้ามีอยู่ว่า ขณะที่หลาย ๆ พื้นที่ของโลกรอคอยวันที่แสงสว่างมาถึง ด้วยความหวังให้เศรษฐกิจจีนฟื้นกลับไปเติบโตดีอย่างที่เคยเป็นมาก่อนโควิด-19 อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ฝั่งจีนเองก็มีให้แค่ “ความหวัง” ซึ่งยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนที่จะกลับไปสู่ระดับเดิมได้จริง

ทางการจีนแสดงความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตถึงเป้า 5% ต่อปี โดยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งมาตรการการเงินและมาตรการการคลังออกมาแล้วหลายชุด แต่ก็ถูกประเมินว่า “ยังไม่เพียงพอ” ที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนโตได้ถึงเป้า

เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารโล (World Bank) เตือนว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะยังคงชะลอลงต่อไปในปี 2025 แม้ว่าจะได้แรงกระตุ้นชั่วคราวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงนี้ก็ตาม

ตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนตามที่เวิลด์แบงก์คาด คือ จะโต 4.8% ในปีนี้ แล้วจะชะลอลงเหลือโต 4.3% ในปี 2025 และเวิลด์แบงก์เตือนให้เผื่อใจพร้อมเตรียมรับมือไว้ว่า การชะลอของเศรษฐกิจจีนอาจส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกชะลอตามไปด้วย โดยประมาณการว่าจีดีพีของภูมิภาคดังกล่าวจะโต 4.8% ในปีนี้ แล้วจะชะลอเหลือโต 4.4% ในปี 2025

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีนในเดือนกันยายนที่บ่งชี้ว่า จีนอยู่ในภาวะเงินฝืด ยังคงสะท้อนให้เห็นภาพได้ดีว่า ชาวจีนยังไม่มีความมั่นใจที่จะใช้เงิน และยอดขายสินค้าหรูที่ลดลงดังที่กล่าวในตอนต้นก็สะท้อนว่า ไม่ใช่แค่คนรายได้น้อยเท่านั้นที่ระมัดระวังการใช้จ่าย แต่คนรายได้สูงก็เช่นกัน

คงต้องรอดูตัวเลขของเดือนตุลาคมว่า หลังจากที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาแล้ว ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คนจีนกล้าจับจ่ายใช้สอยได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจะมีแสงสว่างจากเศรษฐกิจจีนเผื่อแผ่ไปยังเศรษฐกิจและธุรกิจนอกประเทศจีนมากน้อยเพียงใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง