5 อุตสาหกรรมที่มีเดิมพันสูงสุดกับการเลือกตั้งสหรัฐ

เลือกตั้งสหรัฐ แฮร์ริส ทรัมป์
คามาลา แฮร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์

อีกอึดใจเดียวก็จะได้รู้กันแล้วว่า ใครคือประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐ จะเป็นอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จากพรรครีพับลิกัน หรือ คามาลา แฮร์ริส (Kamala Harris) รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต

ขณะที่ผู้ส่งออกสินค้าในประเทศต่าง ๆ ที่ส่งสินค้าไปขายตลาดสหรัฐกำลังลุ้นตัวโก่ง ภาคธุรกิจภายในสหรัฐเองก็กำลังลุ้นยิ่งกว่า เพราะนโยบายของแคนดิเดตประธานาธิบดีคนต่อไปจะส่งผลกระทบแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) สื่อตะวันตกหลายสำนัก และเหล่านักวิเคราะห์ได้วิเคราะห์ตรงกันถึง 5 อุตสาหกรรมที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมากที่สุด ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” สรุปเนื้อหาจากบลูมเบิร์กมานำเสนอ ดังนี้

ธนาคาร (ใหญ่)

อุตสาหกรรมแรก คือ อุตสาหกรรมธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 8 ธนาคารในสหรัฐกำลังเผชิญกับการออกข้อกำหนดใหม่ให้ธนาคารเพิ่มการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงขึ้นตามหลักเกณฑ์บาเซิล (Basel) เพื่อให้ธนาคารสามารถป้องกันความเสี่ยงจากภาวะช็อกทางการเงินได้ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา บรรดาธนาคารแย้งว่ากฎใหม่นี้จะทำให้ธนาคารต้องลดการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าทั้งรายย่อยและภาคธุรกิจลง

มีการวิเคราะห์กันว่า ถ้าแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง หน่วยงานกำกับดูแลธนาคารของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเดินหน้ากฎเกณฑ์นี้ต่อไป และบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) หน่วยธุรกิจวิจัยของเครือบลูมเบิร์ก มองว่า ภายใต้รัฐบาลเดโมแครตเป็นรัฐบาล มีโอกาส 60% ที่การออกกฎใหม่นี้จะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025

ดังนั้น การมาของแฮร์ริสจากเดโมแครตจะอาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับธุรกิจธนาคาร 

Advertisment

เฮลท์แคร์

อุตสาหกรรมที่สองที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือมีเดิมพันสูง คือ “เฮลท์แคร์” รวมถึงธุรกิจประกันสุขภาพ

แฮร์ริสและพรรคเดโมแครตจะสนับสนุนการขยายระยะเวลาและวงเงินการให้เงินอุดหนุนระบบดูแลสุขภาพภายใต้กฎหมายหลักประกันสุขภาพ ที่เรียกว่า “โอบามาแคร์” (ObamaCare) ดังนั้น ถ้าแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดีจะเป็นบวกสำหรับธุรกิจเฮลท์แคร์และประกันสุขภาพ

Advertisment

ถ้าทรัมป์ชนะจะเป็นผลเสียต่อธุรกิจเฮลท์แคร์และธุรกิจประกันสุขภาพ เพราะทรัมป์ประกาศไว้ว่าจะยกเลิกกฎหมายโอบามาแคร์ และจะใช้ระบบที่รัฐจ่ายน้อยกว่าแทน จึงไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจเฮลท์แคร์รวมถึงประกัน

แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรครีพับลิกันอาจช่วยลดแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมยา จากการที่ระบบ “เมดิแคร์” (Medicare – หนึ่งในระบบประกันสุขภาพภาคบังคับ) ต่อรองให้บริษัทยาต้องลดราคายาที่แพทย์สั่ง ดังนั้น ธุรกิจที่จะได้เฮถ้าทรัมป์มา คือ ธุรกิจยารักษาโรค

รถยนต์

อุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นอีกอุตสาหกรรมที่กำลังลุ้นอย่างหนัก หากแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดี รถยนต์ไฟฟ้าจะได้ประโยชน์ เนื่องจากคาดว่าการให้เครดิตภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงดำเนินต่อไป

แต่ถ้าเป็นทรัมป์ มีความเป็นไปได้สูงมากที่เครดิตภาษีนี้จะถูกยกเลิก เพราะเขาเคยสัญญาไว้ว่าจะยุตินโยบายของ โจ ไบเดน ที่สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามต่อ เพราะทรัมป์ได้ลดวาทกรรมเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าลงไปบ้างแล้ว นับตั้งแต่ที่ได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า “เทสลา” (Tesla)

ค้าปลีก

อุตสาหกรรมค้าปลีก จะได้รับผลกระทบทางลบหากทรัมป์ชนะ เพราะนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของเขาที่จะเก็บภาษีสินค้าจากจีนอย่างน้อย 60% และจากประเทศอื่น ๆ 10% ถึง 20% จะทำร้ายผู้ค้าปลีก ทั้งในแง่ยอดขายและอัตรากำไรที่จะลดลง

เพราะสินค้าที่ขายสหรัฐนั้นนำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงมาก อย่างเสื้อผ้าที่ขายอยู่ในสหรัฐนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนถึง 97% ของทั้งหมด ขณะที่รองเท้านำเข้าถึง 98% ส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นำเข้า 90% โดยมีจีนเป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญอันดับต้น ๆ

พลังงาน

อุตสาหกรรมที่ห้า คือ อุตสาหกรรมพลังงาน ผู้ผลิตน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน หรือพลังงานฟอสซิลแบบเดิม ๆ จะได้รับผลประโยชน์จากชัยชนะของทรัมป์ เนื่องจากทรัมป์ประกาศสนับสนุนแหล่งพลังงานแบบดั้งเดิม และจะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นอีก ถ้าพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ในทั้งสองสภา

ส่วนฝั่งผู้ผลิตพลังงานสะอาดจะได้รับประโยชน์จากชัยชนะของแฮร์ริสและพรรคเดโมแครต และได้รับผลกระทบทางลบจากชัยชนะทรัมป์ ผู้ไม่แคร์โลก

เมื่อแนวทางของผู้สมัครชิงตำแหน่งไปคนละทางกันอย่างชัดเจน ธุรกิจในสหรัฐย่อมต้องมีคนที่ได้และคนที่เสียในเกมนี้แน่นอน