จับตา 10 กลุ่มประชากรสำคัญที่อาจตัดสินผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน (เอเอฟพี)

หากเชื่อผลสำรวจที่คาดว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้จะสูสี แต่ภายใต้ตัวเลขที่สูสีกันนั้น มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางประการเกิดขึ้นในการเมืองอเมริกัน สถานีวิทยุแห่งชาติของอเมริกา หรือ NPR รวบรวมกลุ่มต่าง ๆ ที่ควรให้ความสนใจมากที่สุดในคืนการเลือกตั้ง ซึ่งอาจบอกเล่าเรื่องราวได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน หรือคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ได้รับชัยชนะได้อย่างไร และเพราะเหตุใด

1.จับตาดูที่จำนวนผู้สิทธิเลือกตั้งผิวขาวที่โหวตให้แฮร์ริส

กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มใหญ่ที่สุดคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาว ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รีพับลิกันครองเสียงคนผิวขาวมาตลอด แต่ด้วยจำนวนชาวอเมริกันเชื้อสายละตินและเชื้อสายเอเชียเพิ่มจำนวนมากขึ้น และจำนวนผู้เลือกตั้งผิวขาวลดลงอย่างมากตั้งแต่ทศวรรษ 1990

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรดังกล่าว อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา จึงเป็นผู้สมัครคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยคะแนนเสียงจากคนผิวขาวน้อยกว่า 40% ในปี 2012 ส่วนฮิลลารี คลินตันจากพรรคเดโมแครตพ่ายแพ้ในปี 2016 เมื่อเธอได้คะแนนเสียงลดลง 2 เปอร์เซ็นต์ (37%) ไบเดนชนะการเลือกตั้งในอีก 4 ปีต่อมาและได้คะแนนมากกว่า 40%

2.การแบ่งแยกในกลุ่มผู้ลงคะแนนผิวขาวตามการศึกษา

ผู้เลือกตั้งผิวขาวที่มีใบปริญญาโหวตให้รีพับลิกันมาเป็นเวลานาน แต่เพิ่งมาเปลี่ยนในระหว่างปี 2016-2020 เมื่อโจ ไบเดน ผู้สมัครจากเดโมแครตในขณะนั้นเอาชนะในกลุ่มผู้เลือกตั้งไปเพียงเฉียดฉิว โดยในปี 2016 ทรัมป์ชนะกลุ่มนี้ใน 5 จาก 7 รัฐสะวิงสเตต แต่ในปี 2020 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ชนะใน 6 จาก 7 รัฐ

Advertisment

การสำรวจความคิดเห็นชี้ให้เห็นว่าข้อได้เปรียบของพรรคเดโมแครตในคนกลุ่มผิวขาวที่มีใบปริญญาอาจเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้

ตรงกันข้ามกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวที่ไม่มีใบปริญญา พวกเขามีแนวโน้มไปทางพรรครีพับลิกันเป็นอย่างมาก และทีมงานของทรัมป์เชื่อว่า ในปีนี้จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าโดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ค่อยไปลงคะแนนเสียงเลยก็ตาม

Advertisment

ในรัฐสะวิงสเตต คนผิวขาวที่ไม่มีใบปริญญายังคงมีสัดส่วนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่าคนผิวขาวที่มีใบปริญญา ยกตัวอย่างในรัฐกำแพงสีน้ำเงิน หรือบลูวอล (Blue Wall States) อย่างวิสคอนซิน มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย

3.ระวังช่องว่างระหว่างเพศ

ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศหญิงคิดเป็นส่วนใหญ่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกครั้ง โดยในปี 2020 พรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะจากผู้หญิงมากที่สุด โดยได้ 57% อ้างอิงตามผลสำรวจของเอ็กซิตโพล

พรรคเดโมแครตหวังว่าตัวเลขนี้จะสูงขึ้นอีกในปีนี้ เนื่องจากพรรคให้ความสำคัญกับสิทธิการสืบพันธุ์ของผู้หญิงเป็นอย่างมาก และเนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกนับตั้งแต่การพลิกคำตัดสินคดีระหว่างโรและเวด (Roe v. Wade)

และในฝั่งของทรัมป์ก็มีการสนับสนุนกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศชายอย่างยิ่งในปีนี้ ทำให้เมื่อพิจารณาปัจจัยดังกล่าวแล้ว ช่องว่างทางเพศอาจกว้างที่สุดมากกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งไหน ๆ ในอดีต การเลือกตั้งสองครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นช่องว่างที่กว้างมาก โดยมี 24 คะแนนในปี 2016 และ 23 คะแนนในปี 2020 และการสำรวจความเห็นประชาชนครั้งล่าสุดของ NPR แสดงให้เห็นว่ามีช่องว่างมากถึง 34 คะแนน

แต่นี่ไม่ใช่การแบ่งแยกระหว่างชายและหญิงอย่างแท้จริง เพราะยังมีความแตกต่างภายในกลุ่มชายและหญิงที่แบ่งตามการศึกษาและเชื้อชาติอีก

4.ทรัมป์ลดระยะห่างของคะแนนด้วยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำได้หรือไม่

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการพูดถึงทรัมป์มากมายที่พยายามดึงผู้ชายผิวดำอายุน้อยจากพรรคเดโมแครต

การสำรวจก่อนการเลือกตั้งแสดงว่าแฮร์ริส ซึ่งจะเป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดี อาจชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนที่น้อยที่สุดในบรรดาผู้สมัครพรรคเดโมแครตที่เคยชนะมา การสำรวจล่าสุดของ NPR ระบุว่าเธอชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำเพียง 78%

นั่นคือผลลัพธ์ที่ผู้สำรวจความคิดเห็นและนักยุทธศาสตร์ของพรรคเดโมแครตไม่เชื่อแต่ก็กังวล และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจับตามอง

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำอาจมีคะแนนเสียงเพียง 13% ของทั้งประเทศ แต่มีความสำคัญต่อโอกาสของพรรคเดโมแครตในรัฐสะวิงสเตต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐจอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา และมิชิแกน ซึ่งล้วนมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนผิวดำที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศทั้งสิ้น

 5.ทรัมป์สามารถแยกชาวอเมริกันเชื้อสายละตินได้หรือไม่ หรือท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เข้าข้างแฮร์ริสเป็นจำนวนมากใช่หรือไม่

ชาวอเมริกันเชื้อสายละตินเป็นกลุ่มที่เติบโตมากที่สุดในประเทศสหรัฐ พวกเขาอาจมีอิทธิพลอย่างยิ่งในแอริโซนาและเนวาดา ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปี 2020 พวกเขายังเป็นกลุ่มที่โดดเด่นของประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐสะวิงสเตต ตัวอย่างเช่น ในนอร์ทแคโรไลนา พวกเขาคิดเป็นเกือบ 8% ของประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 4 เท่าตั้งแต่ปี 2008 ส่วนในจอร์เจีย พวกเขามีสัดส่วนอยู่ที่มากกว่า 7% อยู่เล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2008

การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ทำผลงานได้ดีขึ้นกับกลุ่มนี้ในปี 2024 เช่นกัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและที่อยู่อาศัย ดังนั้น แม้ว่าการย้ายถิ่นฐานอาจเป็นปัญหาพื้นฐานสำหรับหลาย ๆ คน แต่ปัญหาด้านเงินในกระเป๋าก็มีความสำคัญเช่นกัน ทรัมป์สังเกตเห็นเรื่องนั้น

เขายังสนับสนุนแนวคิดที่ว่าชาวละตินที่อยู่ที่นี่อย่างถูกกฎหมายและมีสิทธิลงคะแนนเสียงก็เดินทางมายังสหรัฐ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง

6.จับตาดูจำนวนคะแนนจากชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ฮาวายพื้นเมือง และชาวเกาะแปซิฟิก หรือ Asian American Pacific Islander  หรือ AAPI ในรัฐเนวาดา จอร์เจีย และที่อื่น ๆ

ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด และตั้งแต่ปี 2008 พวกเขาได้ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคเดโมแครตอย่างล้นหลาม พวกเขาอาจสร้างผลกระทบได้มากที่สุดในเนวาดา ซึ่งพวกเขามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 9% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในรัฐนี้ ในปี 2020 ประชากรกลุ่มนี้คิดเป็น 5% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐนี้ และเลือกไบเดนด้วยคะแนน 64% ต่อ 35%

7.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์ออกมาใช้สิทธิหรือไม่ และลงคะแนนให้แฮร์ริสในอัตราเดียวกับที่พวกเขาเคยโหวตให้พรรคเดโมแครตในอดีตหรือไม่

เมื่อพรรคเดโมแครตชนะ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์ก็ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งเช่นกัน ในปี 2008, 2012 และ 2020 พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 60% หรือมากกว่าของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 29 ปี และในปี 2016 มีเพียง 55% เท่านั้นที่ลงคะแนนให้คลินตัน

หากเจาะลงไปในแต่ละรัฐ คือต้องจับตามองนอร์ทแคโรไลนา หากแฮร์ริสจะชนะ เธอจะต้องได้คะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่มากพอสมควร

8.แฮร์ริสจะเป็นเดโมแครตคนแรกในรอบ 20 ปี ที่ชนะการเลือกตั้งในกลุ่มผู้สูงอายุหรือไม่

แฮร์ริสอาจเป็นเดโมแครตคนแรกนับตั้งแต่อดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ เสนอตัวในปี 2000 เพื่อชนะการเลือกตั้งในกลุ่มผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งที่อาจสูสีนี้ เพราะผู้สูงอายุผิวขาวที่มีสิทธิเลือกตั้งและมีวุฒิการศึกษาจัดอยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีความโน้มเอียงมาทางเดโมแครตสูงสุด

เธอจะต้องให้พวกเขาออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในอัตราที่สูง เพื่อชดเชยความแข็งแกร่งของทรัมป์ที่มีต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย

9.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกลุ่มสหภาพแรงงานสามารถสร้างความแตกต่างในรัฐกำแพงสีน้ำเงิน (Blue Wall States) และเนวาดาได้

พรรคเดโมแครตมีอิทธิพลเหนือผู้มีสิทธิเลือกตั้งสหภาพแรงงานมาหลายปี ซึ่งเป็นรัฐที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวชนชั้นแรงงานจำนวนมาก

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 1 ใน 5 คนบอกว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่สังกัดสหภาพแรงงานในช่วงสองการเลือกตั้งที่ผ่านมาในรัฐทั้งสามแห่งนี้ และไบเดนก็ได้คะแนนเสียงดีขึ้นกว่าฮิลลารี คลินตัน อดีตผู้สมัครจากเดโมแครตอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคลินตันแพ้รัฐที่เป็นกำแพงสีน้ำเงินทั้งสามรัฐให้กับทรัมป์ในปี 2016 และในปีนี้ทรัมป์ขู่ว่าจะลดคะแนนเสียงของคู่แข่งลงอีกครั้งเนื่องจากเขามีคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวที่ไม่มีวุฒิการศึกษา

อย่างไรก็ตาม มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจับตามอง กล่าวคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานกำลังเปลี่ยนแปลงไป พวกเขากำลังมีอายุน้อยลงและเป็นคนทำงานปกขาวหรือคนที่ทำงานในสำนักงานมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ตามแบบแผนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชายผิวขาวในชนชั้นแรงงานเหมือนอย่างทศวรรษ 1960 อีกต่อไป

10.ทรัมป์จะดึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากชนบทกลับมาอีกครั้งหรือไม่ และแฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่าในเขตชานเมืองหรือไม่

เขตชานเมืองหันไปหาพรรคเดโมแครต และทรัมป์ทำให้พรรครีพับลิกันมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นในเขตชนบท ไบเดนชนะเขตชานเมืองอย่างหวุดหวิดในปี 2020 และเขาก็ชนะใจชาวชานเมือง เช่นเดียวกับโอบามาในปี 2008 ในครั้งนี้ การสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่าแฮร์ริสทำผลงานได้ดีกว่าไบเดนในเขตชานเมืองด้วยซ้ำ

แม้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตชนบทจะมีสัดส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปี 2020 มากกว่าในปี 2016 แต่ไบเดนก็แซงหน้าทรัมป์ด้วยคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตชนบท ซึ่งแฮร์ริสก็ต้องการทำให้ได้แบบไบเดนอีกครั้ง แต่หากทรัมป์สามารถเอาชนะคะแนนเสียงเหล่านั้นได้ ก็อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐ