
เปิดวิสัยทัศน์ “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.การต่างประเทศ ชูนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อประชาชน และต้องเป็นเชิงรุก เน้นวางตัวเป็นเพื่อนกับทุกประเทศ ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง แบ่งขั้วชัดเจน ตั้งเป้าเป็นแกนนำขั้วประเทศกำลังพัฒนา ผ่านการร่วมมือกับกลุ่ม “BRICS” หวังให้ประเทศเศรษฐกิจใหม่มีปาก มีเสียง และสร้างความเป็นธรรมต่อทุกประเทศ รวมทั้งเพิ่มบทบาทการนำของกลุ่มอาเซียนมากขึ้น
ในบริบทการเมืองโลกที่กำลังผันผวน แบ่งขั้ว แบ่งข้างอำนาจชัดเจน มีการแข่งกันระหว่างมหาอำนาจโลกตะวันตก กับโลกตะวันออก บีบให้หลายประเทศต้องเลือกข้าง
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ เปิดห้องทำงานกระทรวงการต่างประเทศ ให้เครือ “มติชน” สัมภาษณ์ ถึงนโยบายการต่างประเทศ ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จุดยืนของไทยบนเวทีโลกเป็นอย่างไร ในการเมืองโลกที่ร้อนระอุ และไทยจะฉวยจังหวะความขัดแย้งให้เป็นประโยชน์กับไทยอย่างไร
เป้าหมายด้านต่างประเทศ
นโยบายการต่างประเทศในขั้นตอนต่อไปมีเป้าหมายอยู่ 2 อย่าง 1.เป็นนโยบายการต่างประเทศเพื่อประชาชน ประชาชนต้องจับต้องได้ 2.เป็นนโยบายเชิงรุก
ทั้ง 2 ปัจจัยต้องมีเป้าหมายชัดเจนที่สุด คือ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และต้องส่งผลไปถึงประชาชน
“ศตวรรษที่ 21 จะเป็นศตวรรษของเอเชีย ซึ่งเป็นคำพูดของ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย การจะเป็นศตวรรษที่ 21 ได้ ต้องมีจุดเชื่อมโยงประชาชนเข้าด้วยกัน ดังนั้นจากวิสัยทัศน์ดังกล่าว ทำให้กระทรวงการต่างประเทศต้องมานั่งพิจารณากันใหม่ว่า แล้วการต่างประเทศของประเทศไทยคืออะไร นั่นคือการทูต หรือการต่างประเทศเพื่อประชาชน และต้องเป็นนโยบายเชิงรุก”
ในศตวรรษที่ 21 Foreign Policy กับ Public Policy เกือบจะเป็นนโยบายเดียวกัน Public Policy หรือนโยบายสาธารณะ เป็นนโยบายเพื่อความกินดี อยู่ดี ของประชาชน ถ้าในมิติเดียวจะไม่ยั่งยืน ต้องมีมิติด้านการต่างประเทศมาช่วยเสริม ดังนั้น จึงเป็นการต่างประเทศเพื่อประชาชน นโยบายสาธารณะจึงมีบทบาทสำคัญในการต่างประเทศด้วย
เป็นเพื่อนกับทุกประเทศ
เป้าหมายสำคัญ เพื่อนำมาสู่การกินดี อยู่ดี ของประชาชน ประเทศชาติจึงต้องทำนโยบายเชิงรุก เพราะโลกปัจจุบันมีความแตกแยก เป็น Fragmented World เกิด Geopolitics พยายามให้มีการเลือกข้าง แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กไม่สามารถอยู่ได้บนพื้นฐานท่ามกลางความขัดแย้ง และไม่สามารถมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งได้
ดังนั้น ต้องดำเนินนโยบายที่ไม่ใช่เป็นกลางอีกต่อไป แต่ต้องเป็นนโยบายไม่เป็นศัตรู ไม่มีศัตรู เป็นเพื่อนกับทุกประเทศ และการที่มีบทบาทนำจะต้องสะท้อนสิ่งที่ผมพูด
ท่ามกลางของความแตกแยก ประเทศไทยไม่ใช่มหาอำนาจ เราเป็นประเทศเล็ก เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องวางนโยบายที่สำคัญที่สุด คือ จะต้องเข้ากันได้ทุกกลุ่ม
“โลกปัจจุบันที่มีชัดเจนอยู่ 2 ขั้ว คือ ขั้วของตะวันตก สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำ และขั้วตะวันออกมี รัสเซีย จีน อินเดีย เป็นมหาอำนาจ แต่ค่อนข้างหลวม ยังไม่เป็นเนื้อเดียวเหมือนฝั่งตะวันตก ประเทศเล็กอย่างประเทศไทยต้องพยายามมองจุดยืนของตัวเอง เพื่อให้อยู่ท่ามกลางตรงนี้ให้ได้ จึงสนับสนุนหลาย ๆ ขั้ว”
แกนนำขั้วกำลังพัฒนา
สิ่งสำคัญที่สุดมีอยู่ขั้วหนึ่งที่จะมีบทบาทมาก คือ ขั้วประเทศกำลังพัฒนา (Global South) เพราะฉะนั้น เราต้องมีบทบาทนำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ในฐานะที่เป็นประเทศเล็ก และต้องมีบทบาทนำในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
การที่จะขับเคลื่อนประเทศกำลังพัฒนาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเทศกำลังพัฒนาก็มีความแตกต่างกันในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ค่านิยม และวัฒนธรรม ดังนั้น การที่จะรวมกลุ่มประเทศ Global South ได้ในปัจจุบัน จะต้องมี Core Group ซึ่งก็คือเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ (Emerging Economies) จะเป็นตัวหลัก ผลักดันบทบาทของประเทศกำลังพัฒนาให้ก้าวเข้ามาอยู่ในบริบทของประชาคมโลกให้ได้ เพื่อไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาสูญเสียความยุติธรรม
เพราะในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตกอยู่ในมือของมหาอำนาจ ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องการมีบทบาทนำมากที่สุด คือ รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ใช้แต้มต่อทางการเมืองร่วมกับประเทศกำลังพัฒนา ในฐานะเรากำลังเป็น Emerging Economies
BRICS ตัวเปลี่ยนเกม
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญใน BRICS และ BRICS คือ Core Group ของประเทศกำลังพัฒนา ผมได้เข้าร่วมการประชุม BRICS Summit และ BRICS Outreach คือความพยายามของ BRICS ซึ่งเขารู้ตัวมากว่าเป็น Emerging Economies ทุกคนมองประเทศจีน รัสเซีย อินเดีย แอฟริกาใต้ บราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ก่อตั้ง BRICS ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนาแน่นอน เขาเรียกตัวเขาเองว่า เป็นประเทศ Emerging Economies
ตอนที่ไปร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีของ BRICS ไปยืนยันบทบาทนำของประเทศไทย และมีความร่วมมืออย่างเข้มข้นกับประเทศที่เป็น Emerging Economies เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศกำลังพัฒนาให้มีสิทธิมีเสียงมากขึ้น มีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดทิศทางของโลก
พยายามกำหนดระเบียบโลกให้ความเป็นธรรมกับทุกกลุ่มประเทศ โดยประเทศกำลังพัฒนาเริ่มมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ถ้ามองจาก GDP ของกลุ่มประเทศใน BRICS ก็มหาศาล เกือบครึ่งหนึ่งของ GDP โลก
“ประเทศไทยจะร่วมมือกับทุกประเทศ ไม่ต้องการเอาเปรียบใคร แต่ต้องการเป็นตัวประสานผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา โดยเน้นบทบาทของ Emerging Economies เพราะทุกอย่างเวลาเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่เป็นสัจธรรม หรือเป็นรูปแบบของมวลมนุษยชาติที่จะต้องมีผู้นำของการเปลี่ยนแปลง ให้ประเทศกำลังพัฒนาลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเองคงยาก ดังนั้น ต้องมีผู้นำของการเปลี่ยนแปลง”
ท้ายสุด เรามองว่า Emerging Economies คือ กลุ่มประเทศ BRICS จะเป็นตัวหลักสำคัญ เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง เสริม เติมและดึงเอาบทบาทของประเทศกำลังพัฒนาให้สร้างระเบียบโลก ปรับปรุงระเบียบโลก เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกประเทศอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตกอยู่ในมือของประเทศมหาอำนาจ หรือประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น เป็นเป้าหมายนโยบายการต่างประเทศ
ร่วมกำหนดทิศทางโลก
เมื่อประเทศ Emerging Economies เช่น ประเทศไทย เข้าไปมีส่วนกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงทิศทางของโลก สิ่งสำคัญที่ผมพูดบนเวทีของ BRICS มากที่สุด คือ Financial Architecture ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาจะต้องมีโอกาสได้นำกลับมาตอบโจทย์ผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน นี่คือการทูต หรือการต่างประเทศที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ แพทองธาร ต้องการเห็น
ในมติต่างประเทศ ทวิภาคีไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ เมื่อเราเป็นประเทศที่ไม่มีศัตรู เป็นมิตรกับทุกประเทศ ความสำคัญของทวิภาคีก็จะค่อนข้างครอบคลุมและมีผลสะท้อนที่ดี ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับประเทศทั้งหลายทั่วโลกในกรอบทวิภาคีค่อนข้างดีโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน
ไทยกับบทนำในอาเซียน
อีกด้านหนึ่งพหุภาคี อยากให้เห็นว่านโยบายของเราเริ่ม Shift สมัยผมเป็นเด็ก เรามีบริบทความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา มานานเป็นร้อย ๆ ปีก็ยังคงเป็นต่อไป ใครจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ ใครจะมาเป็นนายกฯของไทย ก็ไม่สำคัญ แต่ความสัมพันธ์อย่างยั่งยืนระหว่างไทยกับสหรัฐ ก็ยังคงต้องมีต่อไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม โลกเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อโลกเริ่มเป็น Fragmented ดังนั้น นโยบายการต่างประเทศของไทยก็ค่อย ๆ Shift จากประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างไทยกับประเทศมหาอำนาจ และประเทศทางตะวันตกก็ค่อย ๆ Shift มาสู่ความสัมพันธ์ของพหุภาคี คือความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นกลุ่มเดียวกัน
สำคัญที่สุดคืออาเซียน เมื่อเราเป็นผู้ก่อตั้งอาเซียน เราจำเป็นจะต้องแสดงบทบาทนำในทุก ๆ กรอบ
จุดแข็งคือความยั่งยืน
ส่วนเราจะมีบทบาทชี้นำสังคมอาเซียนได้อย่างไรนั้น เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างเต็มที่ ในท้ายที่สุด แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็ยอมรับในความคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้สหประชาชาติเริ่มมองเห็นถึงความจำเป็น ที่จะต้องกำหนด UN Sustainable Development Goals ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญมากในกรอบของสหประชาชาติเรื่องนี้
ตรงนี้คือบทบาทสำคัญที่ประเทศไทย ภายใต้นายกฯ แพทองธาร จะใช้ในการสร้างบริบทของการเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในอาเซียน ซึ่งปัจจุบันการค้าขายระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียน สูงที่สุดแล้วในการค้าขายในตลาดโลก ดังนั้น การค้า การลงทุน เป็นหนึ่งในเสาหลัก และเราต้องการส่งเสริม
แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่ประเทศไทยน่าจะมีบทบาทนำมากที่สุด คือการบูรณาการสังคมของประชาคมอาเซียนให้เข้ามาอยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง และนั่นคือบทบาทสำคัญ และบทบาทของประเทศไทยในกรอบของประเทศอาเซียน
การที่สังคมอาเซียนจะยั่งยืนได้ ต้องมีความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ รวมทั้งความมั่นคงของมนุษย์ด้วย ประเทศไทยมีบทบาทนำมากในภาคสังคมอย่างยั่งยืน ดังนั้น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ถึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ ว่ามีความมั่นคงในเรื่อง Universal Health Coverage (UHC) ด้านการแพทย์ที่ครอบคลุมถึงประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
อีกส่วนหนึ่งคือ BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ประกอบด้วย บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย
โครงสร้างสำคัญของ BIMSTEC คือ ไทยและอินเดีย ที่มีความสัมพันธ์มาช้านาน อินเดีย เป็นมหาอำนาจ เป็น Emerging Economies ดังนั้น เราถึงใช้ศักยภาพที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับอินเดีย เพื่อขับเคลื่อนประเทศกำลังพัฒนาได้ง่ายกว่ากลุ่มประเทศใหญ่ นำไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้นในกลุ่ม BIMSTEC
จับมือแก้ปัญหาข้ามแดน
ส่วนการจัดการปัญหาข้ามชายแดนในอาเซียนนั้น ในการหารือพหุภาคี อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม รวมตัวกันมานานแล้ว มีกรอบความร่วมมือมากมายหลายกรอบ ทั้งแม่โขงสหรัฐ แม่โขงญี่ปุ่น แม่โขงเกาหลี แม่โขงล้านช้างซึ่งคือจีน แม่โขงคงคา คืออินเดีย ยังมี เกาหลี จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ประเทศที่อยู่นอกเหนือสมาชิกแม่โขง เป็นคู่เจรจากับกลุ่มลุ่มน้ำโขงทั้งสิ้น
สิ่งที่จะทำต่อไปและเริ่มหมุนวงล้อ ได้เจรจากับประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงว่าเรามีกรอบอนุลุ่มน้ำโขงมากมาย มีประเทศพัฒนาแล้วต้องการเข้ามามีส่วนช่วยเหลือ เราจะประชุมร่วมกันเพื่อขยายหลักการและกิจกรรมทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาของประเทศลุ่มน้ำโขง
เช่น เรื่องบริหารจัดการน้ำ จะต้องร่วมกันภายใต้กรอบแม่น้ำโขง ไม่เช่นนั้นฝนตกในเมียนมา ในลาว ก็จะกระทบทุกประเทศเหมือนกัน
ดังนั้น ความร่วมมือในกรอบลุ่มน้ำโขง จะมีบทบาทสำคัญต่อประเทศไทย ที่มาคุยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงเรื่องยาเสพติด ฝุ่น PM 2.5 ดึงเอาความช่วยเหลือจากประเทศที่พัฒนาแล้วและเป็นหุ้นส่วนของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมาวางแผนร่วมกัน