บริษัทต่างชาติแห่ถอนเงินลงทุนออกจากจีนอย่างต่อเนื่อง แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาแล้วหลายชุด
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่าบริษัทต่างชาติแห่ถอนเงินลงทุนออกจากจีนในช่วงไตรมาสสาม ที่ผ่านมา แสดงถึงสัญญาณว่านักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่น แม้ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรักษาเสถียรภาพการเติบโตมาแล้วหลายชุด
ตามข้อมูลของสํานักงานบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (State Administration of Foreign Exchange) หรือ SAFE ที่เผยแพร่ออกมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน ดัชนี Direct Investment Liabilities ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดกระแสเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในจีน ร่วงลง 8,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.77 แสนล้านบาท) ในไตรมาสสาม และร่วงลงแล้วเกือบ 13,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.45 แสนล้าน) เมื่อรวมตลอดสามไตรมาสแรกของปี
การลงทุนจากต่างประเทศของจีนตกต่ำลงตลอดสามปีที่ผ่านมา หลังจากที่เคยสูงทำลายสถิติในปี 2021 สาเหตุจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลง และการแข่งขันที่รุนแรงในจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ หากเงินทุนยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่องไปจนสิ้นปี จะทำให้เกิดเงินทุนสุทธิไหลออกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1990 ที่เริ่มมีการเก็บข้อมูล
บริษัทที่ถอนเงินลงทุนบางส่วนออกจากจีนในปีนี้ ได้แก่ นิสสัน มอเตอร์ โค. (Nissan Motor Co.) โฟล์คสวาเกน เอจี (Volkswagen AG) พร้อมด้วยบริษัทอื่น ๆ เช่น โคนิก้า มินอลต้า อิงก์ (Konica Minolta Inc.) นิปปอน สตีล คอร์ป (Nippon Steel Corp.) ที่ประกาศไว้ในเดือนกรกฎาคมว่าจะออกจากกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ในจีน ขณะที่ไอบีเอ็ม (IBM) เตรียมปิดหน่วยวิจัยฮาร์ดแวร์ในจีน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่กระทบต่อพนักงาน 1,000 คน
แนวโน้มของสงครามการค้าที่ขยายตัวและความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยลง ระหว่างรัฐบาลจีนกับโดนัลด์ ทรัมป์ที่ชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากกว่าเดิม ซึ่งตามคำกล่าวของอัลลัน กาบอร์ (Allan Gabor) ประธานหอการค้าอเมริกัน (American Chamber of Commerce) ในนครเซี่ยงไฮ้ “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์” เป็นข้อกังวลสูงสุดของสมาชิกหอการค้าอเมริกัน
กาบอร์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับทางบลูมเบิร์กทีวีในสัปดาห์ก่อนหน้า ช่วงงานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติประเทศจีน (China International Import Expo – CIIE) ว่า การวางแผนการลงทุนขนาดใหญ่เป็นไปได้ยากขึ้นกว่าเดิม แต่ในทางกลับกัน จะเห็นได้ว่าสมาชิกหอการค้าอเมริกันจำนวนมากทำการลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็กลงมากขึ้น ถือเป็นสภาพแวดล้อมผ่าตัดการลงทุนที่มากกว่าเดิม
ตามข้อมูลของธนาคารกลาง ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในปลายเดือนกันยายนของรัฐบาลเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติแค่กลุ่มเดียว ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือโดยชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากกว่า 26% จากเดือนสิงหาคม ดัชนีอ้างอิงหุ้นจีนในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นเกือบ 21% หลังเริ่มดำเนินงานกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่ามูลค่าจะลดลงบางส่วนหลังจากนั้น
ในทางตรงข้าม การลงทุนในต่างประเทศของจีนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตามข้อมูลเบื้องต้นของ SAFE พบว่า บริษัทสัญชาติจีนเพิ่มการลงทุนไปยังต่างประเทศประมาณ 34,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.16 ล้านล้านบาท) ในไตรมาสสาม ทำให้ตลอดทั้งปีที่ผ่านมามีกระแสเงินทุนไหลออกคิดเป็น 143,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.9 ล้านล้านบาท) คิดเป็นยอดรวมสูงสุดอันดับสามที่เคยบันทึกไว้ในช่วงเวลาเดียวกัน
บริษัทจีนเช่น บีวายดี โค. (BYD Co.) เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาวัตถุดิบและสร้างกำลังการผลิตในตลาดต่างประเทศ และจะขยายการดำเนินงานดังกล่าวต่อไป เนื่องจากหลายประเทศตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่ส่งออกจากจีนมากขึ้น เช่น เหล็ก นอกจากนี้ สหรัฐยังขู่ว่าจะบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีขาเข้าเพื่อลงโทษ (Punitive Tariff) กับสินค้าทุกประเภทจากจีนอีกด้วย