จับตาเศรษฐกิจโลก ในยุคทรัมป์ 2.0

trump2.0
NEW YORK, NEW YORK - NOVEMBER 9: People participate in a car caravan in support of U.S. President-elect Donald Trump on November 9, 2024 in New York City. Despite the city historically leaning Democratic, the area saw one of the biggest increases in Trump support in the country. Stephanie Keith/Getty Images/AFP (Photo by STEPHANIE KEITH / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 และหลังจากนั้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเชิงนโยบายของรัฐบาลอเมริกัน ทั้งที่เป็นนโยบายภายในประเทศและนโยบายต่างประเทศ

ทรัมป์ เวอร์ชั่น 2.0 คือสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับมาของลัทธิ “อเมริกาต้องมาก่อน” หลักสำคัญที่ทรัมป์ยึดถือมาโดยตลอด อันหมายถึงการให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกสุดต่อผลประโยชน์ของคนอเมริกัน เหนือกว่าผลประโยชน์ของพันธมิตรใด ๆ หรือกรอบความร่วมมือพหุภาคีไหน ๆ ก็ตามที

จุดยืนที่ในเวลานี้ ผู้สันทัดกรณีหลายคนเรียกว่าเป็น “อเมริกา เฟิรสต์ ด็อกทรีน” นั้นสะท้อนอุดมการณ์กีดกันทางการค้าอย่างชัดเจน และแม้จะได้รับความนิยมอย่างมากภายในประเทศ แต่จะส่งผลผูกพันต่อเนื่องอย่างใหญ่หลวงต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก คำสัญญาที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้ ตั้งแต่การตั้งกำแพงภาษี 10%-20% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด หรือสูงถึง 100% สำหรับสินค้าบางหมวดจากประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงการหวนกลับไปให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาสูงสุด โดยไม่แยแสว่าจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากมายแค่ไหนก็ตาม

ยุทธศาสตร์ของทรัมป์นั้นชัดเจนมาก ว่าต้องการปรับเปลี่ยนระบบการค้าโลกให้กลายเป็นเครื่องมือรับใช้ในทั่วทุกมุมโลก เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ในทางปฏิบัตินั้นเป็นที่คาดการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดการผูกพัน พึ่งพาสถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ, การให้ความสำคัญต่อความตกลงการค้าทวิภาคี, การถอนตัวออกจากกรอบความร่วมมือพหุภาคีต่าง ๆ, การรื้อความตกลงทางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจีน เม็กซิโก หรืออินเดีย

สิ่งที่จะกลายเป็นผลลัพธ์ต่อเนื่องมาจากการนี้ก็คือ การตอบโต้ทางการค้าด้วยกำแพงภาษี และความปั่นป่วนของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ

จุดยืนตามอุดมการณ์โปรเท็กชั่นนิสม์ของทรัมป์ อาจสร้างความพึงพอใจให้กับผู้สนับสนุนภายในประเทศ ที่เชื่อหรือคิดว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบจากโลกาภิวัตน์ แต่โดยรวมแล้วก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคอเมริกัน ในรูปของราคาสินค้าที่แพงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคลดลง และกลายเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจอเมริกันชะลอตัว

ADVERTISMENT

ในขณะเดียวกัน การขาดความตกลงพหุภาคีทางการค้า ก็สามารถสร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้นกับบริษัทอเมริกันในตลาดโลก เสี่ยงต่อการแตกแยกกับพันธมิตร และเร่งให้เกิดการจับกลุ่มทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นทางเลือกแยกออกมาจากอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาให้เร็วขึ้นและมากขึ้น

ว่ากันว่าผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลสะเทือนต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชาติกำลังพัฒนาที่พึ่งพาสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดระบายสินค้า บรรดาประเทศในละตินอเมริกา, แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เดิมเคยได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดอเมริกา อาจเผชิญหน้ากับการถูกจำกัดการเข้าถึง

ADVERTISMENT

โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม อย่างเช่น อุตสาหกรรมการเกษตร, สิ่งทอ และเทคโนโลยี บีบบังคับให้ประเทศเหล่านี้หันไปหา “ตลาดทางเลือก” และอาจต้องพึ่งพามหาอำนาจเกิดใหม่ อย่างเช่นจีน จนก่อให้เกิดกลุ่มพันธมิตรใหม่ในระดับภูมิภาคมากขึ้น

การเคลือบแคลงหรือเพิกเฉยต่อสถาบันระหว่างประเทศ อาทิ องค์การการค้าโลก ของทรัมป์ อาจก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมทางการค้าระหว่างประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชาติกำลังพัฒนา ที่เดิมพึ่งพาสถาบันทำนองนี้เพื่อไกล่เกลี่ย ยุติข้อพิพาททางการค้า เมื่อผสมผสานกับการขาดหายไปของกรอบความร่วมมือพหุภาคี สภาพแวดล้อมทางการค้าโลกอาจเปลี่ยนไปกลายเป็นเวทีที่มีการแข่งขันช่วงชิงกันมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศถูกบีบให้ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ยึดถือผลประโยชน์ของชาติตนเป็นสำคัญ

สำหรับชาติกำลังพัฒนา ทรัมป์ 2.0 จะนำพาซึ่งความผันผวนทางเศรษฐกิจมาให้ ต้นทุนหนี้สินสูงขึ้น, การเข้าถึงตลาดอเมริกันลดลง, ความจำเป็นต้องพึ่งพาพันธมิตรทางเลือกทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ระเบียบเศรษฐกิจโลกจะพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะแตกแยก แบ่งฝักฝ่าย แยกย่อยกลายเป็นกลุ่มระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ไร้ระบบ ไร้กฎเกณฑ์หนึ่งเดียวให้ยึดถืออีกต่อไป

กลายเป็นฉากทัศน์ใหม่ ที่ว่าด้วยระบบเศรษฐกิจโลกหลายขั้วไปโดยสมบูรณ์แบบนั่นเอง