ด้วยอำนาจแห่ง Trifecta จักบันดาลสิ่งใดให้ทรัมป์ได้บ้าง

แคปิตอล ฮิลล์ ตึกรัฐสภาของสหรัฐ (เอเอฟพี)

“Trifecta” 3 ประสานแห่งการปกครองเกิดขึ้นแล้วเมื่อพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีสหรัฐคุมรัฐสภา ครองเสียงข้างมากทั้งวุฒิสภา (Senate) และสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) อย่างเป็นทางการ

ครั้งหนึ่งการควบคุมอำนาจ 3 สาขาด้วยพรรคเดียวเป็นเรื่องปกติ แต่ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา พรรคเดียวควบคุมเบ็ดเสร็จกลายเป็นสิ่งที่เกิดยากขึ้นและแถมอายุก็สั้นลงเรื่อยๆ

ชัยชนะหนนี้ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐต่างจากชัยชนะเหนือความคาดหมายในปี 2016 กล่าวคือ บรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้เตรียมการมาหลายเดือนเพื่อเตรียมกวาดที่นั่งเสียงส่วนใหญ่ทั้งสองสภา โดยมีเป้าหมายคือการลงมือร่างวาระสำคัญของรัฐบาลทรัมป์โดยเร็ว โดยเริ่มจากแพ็คเกจเศรษฐกิจหลักที่เน้นเรื่องภาษี นโยบายพลังงาน ความปลอดภัยชายแดน และการยกเลิกกฎระเบียบในการทำธุรกิจ

ย้อนกลับไป ทรัมป์มีอำนาจสามสาขาในช่วงสองปีแรกของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก แต่ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีที่จะอนุญาตให้ประธานาธิบดีทำตามที่ต้องการได้

สิ่งที่ทรัมป์ทำได้ ทรัมป์ใช้กฎหมายภาษีปี 2018 หรือ Tax Cuts and Jobs Act โดยลงนามเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2017 และทรัมป์บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งลดภาษีบริษัทจาก 35% เหลือ 21% และลดภาษีเงินได้บุคคล

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ต้องเผชิญแรงต้านจากภายในพรรคตัวเองที่มีจุดมุ่งหมายต่างออกไป ตัวอย่างเช่น ทรัมป์ล้มเหลวในการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพที่เอื้อมถึงได้ (Affordable Care Act) หรือโอบามาแคร์ เมื่อสว.จากพรรคเดียวกัน ซึ่งคือจอห์น แม็กเคนไม่โหวตให้ และยังไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานตามที่หาเสียงไว้ได้อีกด้วย

ADVERTISMENT

อุปสรรคหลักต่ออำนาจเบ็ดเสร็จไม่ว่าของพรรคไหน คือ สว.  โดยร่างกฎหมายที่ต้องการเสียงสว. สัดส่วน 3 ใน 5 หรือ 60 เสียงจาก 100 เสียง ซึ่งให้อำนาจสว.สามารถที่จะยืดการออกกฎหมายออกไปโดยการเปิดอภิปรายที่ไม่จำกัดเวลา นั่นหมายความว่าเมื่อพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งมีเสียงข้างมากธรรมดา (ไม่ใช่เสียงข้างมากเบ็ดเสร็จ) ในวุฒิสภา พรรคนั้นจะต้องหาเสียงโหวตจากพรรคฝั่งตรงข้ามเพื่อให้ร่างกฎหมายผ่าน

แม้ครั้งนี้ทรัมป์ได้เสียงในวุฒิสภาอย่างท่วมท้น แต่ทรัมป์ก็ไม่ได้มีถึง 60 เสียงที่จะเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้ (ผลเลือกตั้งวุฒิสภา 47 ต่อ 53 เสียง )

ADVERTISMENT

และเมื่อวาน (13 พฤศจิกายน) สว.รีพับลิกันเลือกจอห์น ธูนเป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาไม่ใช่ริก สก็อตต์จากฟลอริดา ซึ่งสก็อตต์เป็นตัวเต็งของทรัมป์อย่างชัดเจน ก็นับเป็นสัญญาณแล้วว่า สมาชิกรัฐสภาบางคนของรีพับลิกันอาจยืนยันความเป็นอิสระอีกครั้ง โหวตอย่างเป็นอิสระ ไม่ได้โหวตตามทรัมป์

จึงต้องจัดการอำนาจอย่างชาญฉลาด การมีสามปัจจัยนี้ก็จะช่วยเปิดทางให้เกิดการริเริ่มกฎหมายที่สำคัญๆได้

ความได้เปรียบทางอำนาจของทรัมป์จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันนโยบายตามสัญญา อาทิ เช่น การเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ

การใช้กลไกของอำนาจนิติบัญญัติผลักดันนโยบายจนสำเร็จทำให้ศาลใช้อำนาจตุลาการคว่ำได้ยากขึ้น ซึ่งอย่างหลังเป็นอุปสรรคต่อทรัมป์เมื่อใช้คำสั่งฝ่ายบริหาร (อำนาจประธานาธิบดี) ผ่านนโยบายในสมัยแรก ซึ่งบ่อยครั้งกลับถูกศาลคว่ำในภายหลัง

ความสำเร็จครั้งพิเศษที่ต้องจดจำของทรัมป์คือการแต่งตั้งผู้พิพากษาอนุรักษนิยม 3 คนนั่งในศาลสูงสุด (Supreme Court) ช่วยให้มีเสียงข้างมากถึง 2 ใน 3 ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

อีกข้อดีของการครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ทรัมป์จะสามารถทำให้ผู้ที่ตนเสนอชื่อดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีผ่านได้ง่ายขึ้น ซึ่งย้อนไปปี 2017 ทรัมป์เผชิญแรงต้านภายในพรรคในกรณีนี้

อำนาจนี้มันจะไม่คงอยู่ไปตลอด 4 ปีที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อมีการเลือกตั้งกลางเทอม แต่ทั้งหมดนี้ อาจเป็นลางบอกเหตุถึง 2 ปีข้างหน้าได้

อ้างอิง :

• BBC

• CNN