
กวางตุ้ง มณฑลศูนย์กลางอุตสาหกรรมของจีนซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “โรงงานของโลก” กำลังพิจารณาลดอัตราค่าไฟของปี 2025 เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตภาคการส่งออก สู้ภาษีทรัมป์ที่อาจเพิ่มขึ้นถึง 60% แม้อุตสาหกรรมพลังงานจะต้องแบกรับต้นทุนที่มากขึ้นไว้เองก็ตาม
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2024 ว่า กวางตุ้ง มณฑลทางตอนใต้ของจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าออสเตรเลีย เป็นผู้นำในความพยายามที่จะควบคุมราคาพลังงานของตัวเอง โดยลดอัตราราคาไฟฟ้าสำหรับปี 2025 ลงเพื่อช่วยโรงงานต่าง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐอเมริกา
บลูมเบิร์กอ้างตามรายงานของไฉซิน (Caixin) ซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตน เผยว่าสัญญารายปีฉบับใหม่ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนเจรจา อาจทำให้อัตราค่าไฟในมณฑลกวางตุ้งลดลงเหลือเฉลี่ย 0.4 ถึง 0.42 หยวน (ราว 1.91 ถึง 2 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh)
และจะต่ำกว่าอัตราปัจจุบันที่ 0.46562 หยวน (ราว 2.22 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์อ้างอิงพลังงานความร้อน 0.453 หยวนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (ราว 2.16 บาท) ที่กำหนดโดยรัฐบาลท้องถิ่น ที่ผ่านการประเมินต้นทุนและจุดคุ้มทุนสำหรับโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
ภาคการผลิตของจีนมีกำไรหดตัวลงในปีนี้ จากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนโรงงานไฟฟ้ามีประสิทธิภาพดีขึ้นจากถ่านหินราคาถูก และพลังงานทดแทนที่แพร่หลายมากขึ้น แม้การผลักดันความมั่นคงด้านพลังงานของรัฐบาลที่ผ่านมา จะทำให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินในหลายพื้นที่ก็ตาม
ตลาดซื้อ-ขายไฟฟ้าเสรีแบบทันทีหรือสปอตมาร์เก็ต (Spot Market) ในกวางตุ้ง ซึ่งมีความก้าวหน้ามากกว่าตลาดอื่น ๆ ในประเทศ มีราคาสำหรับการซื้อขายทันที (Spot Price) อยู่ที่ 0.3372 หยวน (ราว 1.61 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในปีนี้ ต่ำกว่าอัตราประจำปีอย่างมาก บ่นว่าต้องขายขาดทุน
ขณะนี้ภาคผลิตอาจมองได้ว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากการส่งออกถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการประคองเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ให้อย่างน้อยสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลทรัมป์เดินหน้าขึ้นกำแพงภาษี 60% ต่อไป จะสร้างความเสียหายต่อภาคการส่งออกอย่างมาก
บลูมเบิร์กอ้างตามการรายงานของไชน่า เอเนอร์จี้ นิวส์ (China Energy News) เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนว่า เจ้อเจียงอีกหนึ่งมณฑลที่เน้นการส่งออกก็ได้ลดค่าไฟในปีนี้ลงรวมแล้วกว่า 4,000 ล้านหยวน (ราว 19,000 ล้านบาท) และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีกในปี 2025