
ญี่ปุ่นและจีนเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 113,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.92 ล้านล้านบาท) ในไตรมาส 3 ปี 2024 แต่ยังคงเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ 2 อันดับแรก และมีอิทธิพลต่อตลาดตราสารหนี้สหรัฐ
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2024 (เวลาสหรัฐ) ว่า กระทรวงการคลังสหรัฐเผยแพร่ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่านักลงทุนญี่ปุ่นและจีนซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้เทขายพันธออกไปจำนวนมากในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมาถึง
นักลงทุนญี่ปุ่นขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูงทำสถิติใหม่ 61,900 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2024 ขณะที่นักลงทุนสถาบันของจีนขายออก 51,300 ล้านดอลลาร์ เป็นสถิติการเทขายสูงเป็นอันดับ 2 เท่าที่มีการบันทึกไว้ รวมมูลค่าที่ทั้งญี่ปุ่นและจีนเทขาย 113,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.92 ล้านล้านบาท)
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในช่วงกลางเดือนกันยายน แต่หลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลตอบแทนก็ลดลงเกือบ 4% จากระดับดังกล่าว เนื่องจากตลาดกังวลว่านโยบายลดภาษีเงินได้และนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปจะกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
โชกิ โอโมริ (Shoki Omori) หัวหน้านักกลยุทธ์ของบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮ ซีเคียวริตีส์ (Mizuho Securities Co.) กล่าวว่า การเทขายดังกล่าวในญี่ปุ่นเป็นการผนวกกันของการเทขายของบรรดาธนาคารกับการเทขายของกองทุนบำนาญก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งคาดว่าทรัมป์จะชนะ และคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เซนติเมนต์ที่มีต่อพันธบัตรแย่ลง ขณะที่ในจีนนั้น ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างแท้จริง และนั่นทำให้บรรดานักลงทุนในจีนเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ญี่ปุ่นและจีนยังคงถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ และ 731,000 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ ซึ่งเน้นย้ำถึงอิทธิพลที่ทั้งสองประเทศมีต่อตลาดตราสารหนี้สหรัฐ
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของทรัมป์ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องสูงขึ้น พร้อมกับลดการเดิมพันของตลาด ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง