รัฐบาลอังกฤษกู้เงินเยอะเกินคาด ขาดดุลทั้งหมด 17,400 ล้านปอนด์ในเดือนตุลาคม ภายใต้แรงกดดันด้านต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลอังกฤษ
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (Office for National Statistics) ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2024 ผลดำเนินการเบื้องต้นภาคการคลังสาธารณะ (public finance) นับตั้งแต่การแถลงงบประมาณพบว่า ในเดือนตุลาคม กระทรวงการคลังอังกฤษกู้เยอะกว่าที่คาดไว้
โดยในเดือนตุลาคม มีงบประมาณขาดดุลทั้งหมด 17,400 ล้านปอนด์ (ราว 762,000 ล้านบาท) จากที่คาดว่าจะขาดดุล 13,300 ล้านปอนด์ (ราว 582,000 บาท) ซึ่งการกู้ยืมตลอด 7 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบันอยู่ที่ 96,600 ล้านปอนด์ (ราว 4.23 ล้านล้านบาท) มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ประมาณ 1,100 ล้านปอนด์ (ราว 48,200 บาท)
นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษทันที ภายหลังจากที่ราเชล รีฟส์ (Rachel Reeves) รัฐมนตรีคลังอังกฤษแถลงงบประมาณในวันที่ 30 ตุลาคม เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินเพิ่มเติมอีก 142,000 ล้านปอนด์ (ราว 6.22 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณข้างหน้า เพื่อช่วยระดมเงินลงทุนและปรับปรุงบริการสาธารณะ ซึ่งงบประมาณปี 2024-25 มีคาดการณ์ขาดดุลใหม่อยู่ที่ 127,500 ล้านปอนด์ (ราว 5.58 ล้านล้านบาท)
กฎข้อสำคัญของรีฟส์คือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในทุกวันนี้จะถูกชำระด้วยรายได้ภาษีจนหมดภายในปีงบประมาณ 2029-30 อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาด้านงบประมาณและอุปสรรคทางเศรษฐกิจ ที่อาจถูกขยายให้กว้างขึ้นกว่าเดิมหลังการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้รัฐบาลอังกฤษต้องสูญเงินสำรองกว่า 9,900 ล้านปอนด์ (ราว 433,000 ล้านบาท) ซึ่งเป็นเงินที่รีฟส์ต้องการเผื่อไว้ นั่นหมายความว่ารัฐมนตรีคลังอาจถูกบีบให้ต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้น หรือลดรายจ่ายภาครัฐลงในแผนงบประมาณฤดูใบไม้ผลิครั้งถัดไป
ในเดือนตุลาคม อังกฤษมีหนี้สุทธิอยู่ที่ 97.5% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงต้นปี 1960 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพรรคแรงงานตั้งเป้าหมายไปยังตัวชี้วัดที่มีชื่อว่า “หนี้สินทางการเงินสุทธิของภาคสาธารณะ” (Public Sector Net Financial Liabilities) หรือ PSNFL ซึ่งนับรวมสินทรัพย์ทางการเงินของรัฐบาลทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่เงินสดและพันธบัตรรัฐบาล เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของภาครัฐ โดยในเดือนตุลาคม PSNFL คิดเป็น 83.7% ของจีดีพี เพิ่มขึ้น 2.5 จุดเปอร์เซ็นต์จากปี 2023