เนสท์เล่เตรียมขึ้นราคา-ลดขนาดกาแฟ ทั้ง Nescafe และ Nespresso

เนสเพรสโซ
กาแฟเนสเพรสโซ (ภาพโดย Manny Carabel / Getty Images via AFP)

เนสท์เล่ ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของโลก เจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ และเนสเพรสโซ เตรียมขึ้นราคาและปรับลดขนาด รับมือต้นทุนเมล็ดกาแฟเพิ่มสูง ซึ่งการปรับราคาที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เป็นการขึ้นราคาครั้งที่ 3 นับจากปี 2022 

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2024 ว่า เนสท์เล่ (Nestle) บริษัทผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ (Nescafe) และเนสเพรสโซ (Nespresso) เตรียมขึ้นราคากาแฟพร้อมปรับลดขนาดกาแฟให้เล็กลง เพื่อจำกัดผลกระทบจากราคาเมล็ดกาแฟที่พุ่งสูงขึ้น 

เดวิด เรนนี (David Rennie) หัวหน้าฝ่ายแบรนด์กาแฟของเนสท์เล่กล่าวเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายนว่า แผนลดขนาดจะเน้นไปที่กาแฟผงสำเร็จรูปและกาแฟแบบแคปซูล 

เรนนีกล่าวอีกว่า เนสท์เล่ไม่สามารถต้านทานราคาต้นทุนของราคากาแฟได้ นับตั้งแต่ปี 2022 เนสท์เล่ปรับขึ้นราคากาแฟมาแล้วสองครั้ง พร้อมเสริมว่าเนสท์เล่มีความได้เปรียบตรงที่มีสินค้าในพอร์ตมาก จึงพึ่งพากลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟน้อยกว่าคู่แข่งบางราย 

โฆษกของเนสท์เล่แถลงว่า เนสท์เล่มุ่งหวังที่จะดึงดูดลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจากการนำเสนอขนาดของบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กาแฟผสมขนาดเล็กสำหรับชงครั้งเดียว และแบบเติมหรือรีฟิล ในราคาที่หลากหลาย นอกจากนั้น เทคโนโลยีการสกัดเมล็ดกาแฟใหม่ของเนสท์เล่นจะทำให้สามารถสกัดกาแฟออกมาจากเมล็ดกาแฟได้มากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของกาแฟแต่อย่างใด  

ในปีนี้ราคากาแฟพุ่งสูงขึ้น หลังจากที่บราซิลและเวียดนามซึ่งเป็นประเทศผู้ปลูกกาแฟรายใหญ่ของโลกเผชิญกับสภาพอากาศที่ย่ำแย่ ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าผลิตเมล็ดกาแฟจะไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดกาแฟอราบิก้านั้นมีราคาเพิ่มขึ้นแล้ว 50% ในปีนี้ ส่วนราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดกาแฟโรบัสต้าเพิ่มขึ้นราว ๆ 65%

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ หลังจากที่ผลการดำเนินงานของเนสท์เล่ต่ำกว่าคาดการณ์เป็นเวลามากกว่า 1 ปี และมีการปลดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ออกจากตำแหน่ง เนสท์เล่กำลังพยายามลงทุนกับแบรนด์ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับลดต้นทุนการผลิต เพื่อรักษาผลกำไรของบริษัท ซึ่งการที่จะฟื้นคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษากำไรเอาไว้ให้ 

เนสท์เล่แถลงเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายนว่า บริษัทจะลดต้นทุนเพิ่มอีก 2,500 ล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 97,770 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2027 ขณะที่ แอนนา แมนซ์ (Anna Manz) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของเนสท์เล่กล่าวว่า ความล่าช้าของการลดต้นทุนหมายถึงต้นทุนของผลิตภัณฑ์ เช่น กาแฟ และโกโก้ สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท

ADVERTISMENT