แผน “เนรเทศใหญ่” ของทรัมป์ เสี่ยงซัดเศรษฐกิจสหรัฐ “ถดถอย”

Deport immigrants
CHICAGO, ILLINOIS - SEPTEMBER 12: A sign at The Wieners Circle, a popular hot dog restaurant, reads "IMMIGRANTS EAT OUR DOGS" as it comments on a statement made by Republican presidential candidate, former President Donald Trump during his Tuesday-night debate against Democratic presidential nominee, U.S. Vice President Kamala Harris on September 12, 2024 in Chicago, Illinois. During the debate, Trump claimed that immigrants in Springfield, Ohio were abducting and eating residents' cats and dogs. Scott Olson/Getty Images/AFP (Photo by SCOTT OLSON / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

หนึ่งในนโยบายที่ทำให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้ง ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เห็นจะเป็นเรื่องการ “เนรเทศ” ผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนหลายล้านคนในสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นการเนรเทศ “ครั้งใหญ่ที่สุด”ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

และเมื่อผลเลือกตั้งออกมาว่าชนะเลือกตั้ง ทรัมป์ก็ได้ประกาศทันทีถึงแผนการเนรเทศว่า จะใช้วิธีประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” และใช้กำลังทหารเข้ามาจัดการกวาดล้างผู้อพยพเหล่านี้ ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนและถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ว่าเขาจะทำได้จริงหรือ รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

แผนการนี้ถูกต่อต้านโดยกลุ่มสนับสนุนผู้อพยพ อย่าง “สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน” ซึ่งขู่ว่าพวกเขาจะตอบโต้ด้วยมาตรการทางกฎหมายหากทรัมป์ทำเช่นนั้นจริง ขณะที่นักวิชาการบางรายชี้ว่า “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” ไม่ได้ให้อำนาจใด ๆ แก่รัฐบาลในการเนรเทศ

สมัยแรกที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี เขาได้ใช้อำนาจตนเองโดยไม่ผ่านสภาคองเกรส โยกงบประมาณกระทรวงกลาโหมเพื่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนที่ติดกับเม็กซิโกด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อ “โจ ไบเดน” จากเดโมแครต เข้ามาเป็นประธานาธิบดีในปี 2021 ได้สั่งยกเลิกคำสั่งฉุกเฉินดังกล่าวของทรัมป์

อารอน ริคลิน-เมลนิค นักวิชาการสภาผู้อพยพแห่งอเมริกา ระบุว่า ไม่คิดว่าทรัมป์จะใช้กำลังทหารเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาทหารถูกใช้ให้ทำหน้าที่สนับสนุนงานป้องกันชายแดน แต่ไม่เคยเกี่ยวข้องโดยตรงกับการไล่ล่าผู้อพยพ และตามที่ตนเก็บข้อมูล 4 ปีที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก พบว่า แม้ตอนหาเสียงจะพูดไว้หลายอย่าง แต่นโยบายจริง ๆ ที่ถูกนำไปปฏิบัติค่อนข้างจะแตกต่างออกไปจากตอนหาเสียง

“คิดว่าผู้อพยพที่เป็นเป้าหมายในการเนรเทศน่าจะเป็นแค่กลุ่มเล็ก ๆ คือพวกที่ก่ออาชญากรรมกับพวกที่เพิ่งเข้ามาถึงใหม่ ๆ ช่วงก่อนรัฐบาลโจ ไบเดน”

ADVERTISMENT

ช่วงหาเสียงในครั้งนี้ ทรัมป์ขู่ว่าจะเนรเทศผู้อพยพอย่างน้อย 15 ล้านราย ที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย แต่หากดูจากช่วงที่เขาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์เนรเทศเพียง 1.5 ล้านคน ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหากจะเนรเทศครั้งใหญ่อย่างที่กล่าวอ้างจะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งการสร้างสถานที่ควบคุมตัวจำนวนมากและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจสูงถึง 3.15 แสนล้านดอลลาร์ และใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีในการเนรเทศทุกคน

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า การเนรเทศครั้งใหญ่อาจส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจสหรัฐในระดับมหภาค อาจก่อให้เศรษฐกิจ “ถดถอย” และอุตสาหกรรมทั่วสหรัฐอเมริกาจะขาดแคลนแรงงาน ราคาของกินของใช้จะพุ่งขึ้น สุดท้ายแล้วสร้างความลำบากให้กับพลเมืองอเมริกัน ซึ่งเป็นผลกระทบที่เชื่อว่าทรัมป์ไม่ต้องการให้เกิด

ADVERTISMENT

ชานทานา คานนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การเนรเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะผู้อพยพที่เข้ามาอยู่อย่างผิดกฎหมายส่วนใหญ่จะทำงานในภาคก่อสร้าง การดูแลเด็กและคนชรา ซึ่งเป็นงานที่คนอเมริกันไม่ทำอยู่แล้ว นอกจากนี้ หากคนหายไปหลายล้านคน ร้านค้า ร้านอาหารในท้องถิ่น ฯลฯ จะมีคนมาใช้บริการน้อยลง

ด้าน ปีเตอร์ ไซมอน อาจารย์เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ให้ข้อสังเกตว่า ภาคธุรกิจที่ผู้อพยพผิดกฎหมายถูกจ้างงานส่วนใหญ่แล้วเป็นภาคที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยภาคบริการเป็นหลัก ไม่ใช่ภาคเกษตรหรือภาคการผลิต คนเหล่านี้ทำงานก่อสร้างบ้าน ตัดหญ้า ซ่อมบ้าน ทำงานในสถานเลี้ยงเด็กเล็ก ถ้าพวกเขาถูกเนรเทศ คนอเมริกันก็คงไม่สามารถหาช่างซ่อมประปา ช่างไฟฟ้า หรือใครก็ตามที่สามารถทำงานเหล่านี้ เมื่อบวกกับแนวโน้มที่อัตราการเกิดน้อยลงในสหรัฐ สถานการณ์ด้านแรงงานจะยิ่งแย่

นโยบายอีกอย่างหนึ่งของทรัมป์ที่นักเศรษฐศาสตร์กังวลก็คือการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ 10-20% ส่วนสินค้าจากจีนจะถูกเก็บสูงถึง 60-100% ซึ่งเซธ คาร์เพนเตอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกของมอร์แกน สแตนลีย์ ชี้ว่า หากทรัมป์ทำตามที่พูดจริงจะส่งผลกระทบด้านลบครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจ โดยในปี 2025 ภาษีดังกล่าวจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จากนั้นปี 2026 อัตราเติบโตของเศรษฐกิจจะลดลงอย่างมาก