COP29 พลังงานนิวเคลียร์บูม ? เมื่อชาติร่ำรวยตั้งเป้าเพิ่มการใช้ไฟฟ้านิวเคลียร์

ปัญหาหลายประการทั้งด้านความปลอดภัย ต้นทุน การจัดการขยะกัมมันตภาพรังสี ทำให้การหมายปองพลังงานนิวเคลียร์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองเป็นแหล่งปฏิวัติพลังงานราคาถูกที่อุดมสมบูรณ์ ค่อย ๆ จางหายไป

แต่ขณะนี้ในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศของสหประชาชาติ หรือ COP29 ที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน มีการหารือถึงการหวนกลับมาใช้ไฟฟ้านิวเคลียร์อีกครั้ง หลังจากมีการจุดชนวนโดยยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่างไมโครซอฟท์ กูเกิล แอมะซอนที่ล้วนประกาศการลงทุนในเซ็กเตอร์นี้ ตลอดจนแรงกัดดันที่เพิ่มมากขึ้นต่อชาติร่ำรวยที่จะจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

บีบีซี (BBC) รายงานข้อมูลว่า เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์สามารถรวบรวมและควบคุมแรงอันน่าเกรงขามแบบเดียวกับที่ระเบิดปรมาณูปล่อยออกมา เพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับบ้านเรือนหลายล้านหลัง ด้วยยูเรเนียมเพียงกิโลกรัมเดียวที่ให้พลังงานมากกว่าถ่านหินหนึ่งกิโลกรัมถึง 20,000 เท่า

การพัฒนานิวเคลียร์ยังไม่หยุด จีนมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 13 เครื่องในปี 2011 แต่ขณะนี้มี 55 เครื่อง และอีก 23 เครื่องอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตอบสนองดีมานด์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความสนใจกำลังเพิ่มขึ้นที่อื่นด้วยเช่นกัน คาดว่าปี 2024 จะเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ แรงกดดันในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจึงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านพลังงานอีกครั้งภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซียยังเป็นปัจจัยหนึ่งด้วย

ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้เพิ่งยกเลิกแผนการยุติการผลิตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ภายในสี่ทศวรรษข้างหน้า และจะสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมแทน

ADVERTISMENT

และฝรั่งเศสได้พลิกกลับแผนที่จะลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งผลิต 70 เปอร์เซนต์ของไฟฟ้า โดยขณะนี้ฝรั่งเศสต้องการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพิ่มสูงสุดอีก 8 เครื่อง

นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐยืนยันในการกระชุม COP29 ซึ่งตั้งใจที่จะเพิ่มการผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มอีก 3 เท่าภายในปี 2050

ADVERTISMENT

ขณะนี้มีประเทศต่าง ๆ รวม 31 ประเทศเห็นพ้องที่จะพยายามเพิ่มการใช้ไฟฟ้านิวเคลียร์ภายในปี 2050 เช่นเดียวกันรวมถึงอังกฤษ ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น

นอกจากนี้ สหรัฐและอังกฤษประกาศว่าสองประเทศจะร่วมมือกันเร่งความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปตามแถลงการณ์ของการประประชุม COP28 เมื่อปีก่อนหน้า ที่ระบุว่านิวเคลียร์ควรเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ปล่อยกาซคาร์บอนต่ำหรือเป็นศูนย์ที่เห็นควรให้เร่งเพื่อช่วยต่อสู้การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

ข้อมูลจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ระบุว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทไมโครซอฟท์ได้ลงนามข้อตกลง 20 ปีในการซื้อพลังงานจากบริษัท คอลสเตลเลชั่น เอนเนอร์ยี (Constellation Energy) ของสหรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดโรงไฟฟ้าเกาะทรีไมล์ (Three Mile Island) ในรัฐเพนซิลเวเนียอีกครั้ง ซึ่งอุบัติเหตุนิวเคลียร์เกาะทรีไมล์ เป็นสถานที่เกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยเครื่องปฏิกรณ์เกิดการหลอมละลายบางส่วนในปี 1979

จะทำอย่างไรกับขยะกัมมันตภาพรังสีที่สะสมอยู่ ซึ่งบางส่วนจะยังคงเป็นอันตรายไปอีกเป็นเวลาหลายแสนปี

คำตอบที่รัฐบาลหลายประเทศแสวงหาคือการกำจัดทางธรณีวิทยา โดยฝังขยะไว้ในอุโมงค์ปิดใต้ดินลึก แต่มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้น คือ ฟินแลนด์ที่ได้สร้างโรงงานดังกล่าวขึ้นจริง ในขณะที่นักสิ่งแวดล้อมและผู้รณรงค์ต่อต้านนิวเคลียร์แย้งว่าการทิ้งขยะให้พ้นสายตาและพ้นเสียจากความคิดนั้นมีความเสี่ยงเกินไป

แต่เทคโนโลยีนิวเคลียร์ทำให้ประชาชนกลัว ซึ่งดูเหมือนว่าก็เป็นความกลัวที่สมเหตุสมผลจากภัยพิบัติเชอร์โนบิลในยูเครน ซึ่งแพร่การปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสีทั่วยุโรปเมื่อต้นปี 1986 เติมเชื้อเพลิงการคัดค้านของประชาชนและในทางการเมือง และทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมชะลอตัวลง

อุบัติเหตุทางนิวเคลียร์อีกเหตุการณ์ คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดฟูกูชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2011 ทำให้ความกังวลด้านความปลอดภัยกลับมาใหม่อีกครั้ง จนญี่ปุ่นปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมดทันทีที่เกิดเหตุ และนับตั้งแต่นั้นมีแค่ 12 เครื่องที่กลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง

เยอรมนีตัดสินใจเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง ประเทศอื่น ๆ ลดขนาดแผนการลงทุนในโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ หรือขยายอายุการใช้งานของโรงงานเก่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้สูญเสียการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกปี 2011-2020 ไป 48 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ International Atomic Energy Agency (IAEA)