บริษัทสหรัฐเร่งสั่งซื้อสินค้าจีนมากขึ้น ก่อนโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าทำเนียบและประกาศขึ้นภาษี ซึ่งอาจดันการส่งออกจีนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2024 ว่า นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์กันว่าการส่งออกจีนปีนี้จะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากลูกค้าเร่งรัดการสั่งซื้อ (Front-Loaded) ให้เร็วขึ้น ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะดำรงตำแหน่งและประกาศขึ้นภาษี
ตามค่ากลางของผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยบลูมเบิร์กระหว่างวันที่ 15-21 พฤศจิกายน นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี การส่งออกจีนจะขยายตัวเร่งขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 5% ของคาดการณ์ในเดือนตุลาคม ช่วงก่อนรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกทั้งหมดจะเพิ่มเป็น 3.548 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 122 ล้านล้านบาท) สูงกว่าสถิติเดิมในปี 2022
เอริก้า เทย์ (Erica Tay) นักเศรษฐศาสตร์จากเมย์แบงก์อินเวสต์เมนต์แบงกิ้งกรุ๊ป (Maybank Investment Banking Group) กล่าวว่า ในอีกสองถึงสามเดือนข้างหน้า การส่งออกของจีนจะได้ประโยชน์จากการสะสมสินค้าเข้าคลังอย่างตื่นตระหนกโดยเหล่าบริษัทต่างชาติ ซึ่งแนวโน้มของสงครามการค้าอาจทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นการบริโภคมากขึ้นในปีต่อไป
อย่างไรก็ตาม การส่งออกจีน Q4/2024 มีการเติบโตมากที่สุดแล้วนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ซึ่งหนุนให้จีนมีแนวโน้มเกินดุลการค้าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 34.54 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ และที่สำคัญคือรัฐบาลจีนยังคงต้องการค้าขายกับต่างประเทศอยู่ เพื่อชดเชยอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นที่สำคัญหลายครั้งแล้วก็ตาม
ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 60% ซึ่งเป็นระดับที่นักเศรษฐศาสตร์จากบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ ว่าจะทำลายการค้าต่อประเทศทั้งสองที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก โดยในสมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ยกระดับกำแพงภาษีขึ้นเป็น 25% จากสินค้าจีนมูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 10 ล้านล้านบาท) และส่วนใหญ่ถูกคงไว้ในรัฐบาลไบเดน
แนวโน้มสงครามการค้าที่จะขยายวงกว้างมากขึ้นหลังทรัมป์หวนคืนสู่ทำเนียบขาว ส่งผลให้ตลาดคาดหวังมากขึ้น ว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีต่อไป เนื่องจากจีนเตรียมเผชิญหน้ากับลัทธิปกป้องผลประโยชน์ทางการค้า (Protectionism) ครั้งใหม่ ขณะที่การส่งออกขยายตัวอย่างมาก แต่การนำเข้าของจีนกลับทรงตัว เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงฟื้นตัวลำบาก จนกระตุ้นให้ทั่วโลกหวาดกลัวการทะลักเข้าของสินค้าราคาถูกจากจีน
จากผลสำรวจของบลูมเบิร์ก ตลาดคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของจีนจะขยายตัวเป็น 4.9% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ 4.8% ในเดือนตุลาคม
จากผลสำรวจความเห็นที่จัดทำโดยบลูมเบิร์ก นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจีนจะดันธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้อีก โดยลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) ลง 25 เบซิสพอยต์ในไตรมาสสี่ ขณะที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (7-Day Reverse Repo Rate) ไว้เท่าเดิมจนถึงปีถัดไป ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ในเดือนตุลาคม
ธนาคารกลางจีนลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำครั้งล่าสุดในเดือนกันยายน ไม่นานหลังจากที่พาน กงเซิ่ง (Pan Gongsheng) ผู้ว่าการธนาคารกลางประชาชนจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยบางตัวลงก่อนหน้า ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พาน กงเซิ่ง ย้ำว่าธนาคารกลางอาจลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำลงอีก 25 ถึง 50 เบซิสพอยต์ภายในสิ้นปีนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) ของตลาด
อาร์เยน ฟาน ไดจ์คูเซ่น (Arjen van Dijkhuizen) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากธนาคารเอบีเอ็นอัมโรแบงก์ (ABN Amro Bank NV) ผลกระทบทางกำแพงภาษีคาดว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม จีนได้ลดการพึ่งพาสหรัฐลงเยอะแล้ว และพัฒนาวิธีการตอบโต้แล้วเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าเงินสกุลเงินหยวน และการกระตุ้นเศรษฐกิจ