เมื่อ “ทรัมป์” เริ่มจุดชนวน สงครามการค้า

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศบังคับใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากชาติที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐอเมริกาเองทั้งหมด อย่าง สหภาพยุโรป (อียู), แคนาดา และเม็กซิโก จากเดิมที่เรียกเก็บกันอยู่ไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 25 เปอร์เซ็นต์สำหรับเหล็ก และ 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับอะลูมิเนียม

 

วิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐ ให้เหตุผลไว้ในการแถลงประกาศใช้มาตรการว่า เป็นเพราะการเจรจากับอียู, แคนาดา และเม็กซิโก ไม่สามารถบรรลุผลในอันที่จะแก้ไขปัญหา “ความมั่นคงของชาติ” ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ไม่เพียงแต่สร้างความตกตะลึงให้กับประเทศที่เป็นเป้าหมายในคำประกาศเหล่านั้นเท่านั้น ยังสร้างความงุนงง สงสัย เรื่อยไปจนถึงประณามจากบรรดานักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญการค้าระหว่างประเทศทั้งหลายว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่เพียงไม่มีประโยชน์เท่านั้น หากแต่ยังส่งผลเสียมหาศาลให้เกิดขึ้นตามมา

เพราะนั่นคือการจุดชนวนสงครามการค้า ที่อาจลุกลามต่อเนื่องต่อไปจนสุดท้ายอาจกลายเป็นเรื่องเหนือการควบคุมของทุกคนในทุกประเทศ

เริ่มต้นจากมาตรการตอบโต้ของประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายขึ้นภาษีนำเข้าครั้งนี้ ซึ่งมีอย่างน้อย 2 ประเทศแล้ว คือ แคนาดากับเม็กซิโก ที่ประกาศตอบโต้ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าจากโรงงานการผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าการเรียกเก็บภาษีเพิ่มของทั้ง 2 ประเทศ จะมีผลในทางปฏิบัติไม่เกินกลางเดือนมิถุนายนนี้

ในขณะที่อียูเคลื่อนไหวรอบคอบมากกว่า ด้วยการยื่นเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการระงับกรณีพิพาทขององค์การการค้าโลกก่อนเป็นชาติแรก ต่อด้วยแคนาดา เป็นชาติถัดมา แต่ผู้ที่จับตามองเหตุการณ์ครั้งนี้เชื่อว่า ในอีกไม่ช้าไม่นาน อียูก็ต้องประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเป็นการตอบโต้ ตามที่ประกาศเป็นแนวทางไว้แล้วก่อนหน้านี้

ADVERTISMENT

ถ้าทุกอย่างยุติลงเพียงเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นโชคดีของวงการค้าระหว่างประเทศ เพราะมีโอกาสมากไม่น้อยที่แต่ละฝ่ายจะประกาศใช้มาตรการตอบโต้ซึ่งกันและกันอีกเป็นระลอก ๆ ขยายไปครอบคลุมทุกภาคการผลิต ไม่มีที่สิ้นสุด

นั่นคือสงครามการค้าขนานใหญ่ที่ไม่มีใครต้องการเห็นอย่างแท้จริง

ADVERTISMENT

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นอกเหนือจากคนวงในรอบตัวทรัมป์เพียงไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครเข้าใจว่า ทรัมป์ดำเนินการครั้งนี้ไปเพื่ออะไร

เพราะคนที่ติดตามการค้าระหว่างประเทศอยู่รู้ดีว่า ตัวการที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคาเหล็กและอะลูมิเนียมทั่วโลก ไม่ใช่อียู, แคนาดา และเม็กซิโก หากแต่เป็นจีน

จีนผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมออกมามากจนทำให้เกิดภาวะล้นตลาดทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ยิ่งรัฐบาลจีนมีการควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งทำให้ภาวะล้นตลาดดังกล่าวเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น

มีผู้ถามว่า แล้วทำไมไม่ใช้มาตรการภาษีกับจีน คำตอบก็คือ สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีนอยู่ก่อนแล้ว ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีนอยู่ในระดับสูงเสียจนมาตรการ 25-10 ครั้งนี้ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อการนำเข้าจากจีนแต่อย่างใด

รัฐบาลทรัมป์เชื่อว่า ประเทศอย่างอียู แคนาดา และเม็กซิโก เป็นแหล่งปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า ที่ทำให้เหล็กและอะลูมิเนียมจากจีนยังคงไหลเข้าไปในตลาดสหรัฐ การขึ้นภาษีจากประเทศเหล่านี้จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

โดยไม่รับฟังข้อเท็จจริงจากนักวิชาการทั้งหลายว่า เป็นไปไม่ได้ที่เหล็กและอะลูมิเนียมที่ผลิตในสหรัฐจะขายดีขึ้น ตราบใดที่ต้นทุนการผลิตในสหรัฐอเมริกายังสูงกว่าที่อื่น และผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกายังคงเอาแต่ผลิตแต่ขายไม่เป็นเหมือนเช่นที่เป็นอยู่

สิ่งที่ทรัมป์ทำลงไป ไม่เพียงทำให้เหล็กและอะลูมิเนียมซึ่งเดิมราคาถูก เพราะราคาในตลาดโลกถูก กลับมีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐเท่านั้น ยังทำให้ภาคอุตสาหกรรมอื่น ตั้งแต่ก่อสร้าง เรื่อยไปจนถึงน้ำอัดลม ซึ่งใช้เหล็กและอะลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบ ต้องปรับราคาขึ้นไปด้วย ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเอง กลับต้องขายสินค้าเกษตรและอื่น ๆ ในราคาแพงขึ้นในตลาดต่างประเทศ เพราะเจอเก็บภาษีตอบโต้ ทำให้ขีดความสามารถการแข่งขันน้อยลง กระทบต่อผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมนั้น ๆ โดยตรง ในระยะยาวสิ่งที่ทรัมป์กระทำลงไปจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศเอง และคุกคามการไหลเวียนของการค้าระหว่างประเทศ ที่หมายถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งโลกอีกด้วย

นี่คือสิ่งที่ทำให้นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์หลายคนออกมาถล่มทรัมป์กันเป็นทิวแถว เริ่มตั้งแต่ เจฟฟรีย์ ซาคส์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำศูนย์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่เขียนบทความแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น บอกว่า การขึ้นภาษีนำเข้าครั้งนี้เป็น “สงครามการค้าของคนโรคจิต” หรือการออกมาประณามว่าเป็น “สงครามการค้างี่เง่า” ของพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบล

สิ่งที่หลายคนคาดหวังก็คือ หวังว่าสหรัฐ กับอียู แคนาดา และเม็กซิโก จะยังคงเป็นมิตรที่ดีต่อกัน และจำกัดความขัดแย้งไว้เพียงแค่นี้ เพื่อหาทางออกที่ดีต่อกันทั้งสองฝ่ายได้ในที่สุด