ทางการจีนให้คำมั่นจะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณเพื่อเพิ่มการใช้จ่าย ออกพันธบัตรกู้เงินเพิ่ม และผ่อนปรนนโยบายการเงิน เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ แต่ไม่มีการประกาศหรือแย้มข้อมูลมาตรการใด ๆ
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2024 ว่า ในการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลาง (Central Economic Work Conference : CEWC) ระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม ทางการจีนให้คำมั่นที่จะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ ออกพันธบัตรกู้เงินเพิ่ม และผ่อนปรนนโยบายการเงิน เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจให้มั่นคง ขณะที่เตรียมรับมือความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐที่จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์
รอยเตอร์อ้างอิงการรายงานของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ว่า ในที่ประชุมมีการกล่าวว่า “ผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกนั้นมีความรุนแรงขึ้น”
ทั้งนี้ การประชุม CEWC ปีนี้เกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากวิกฤตรุนแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่สูง และอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ การส่งออกซึ่งเป็นหนึ่งในจุดสว่างเพียงไม่กี่จุดก็เผชิญกับภัยคุกคามจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐ
คำมั่นสัญญาของ CEWC สอดคล้องกับน้ำเสียงอันผ่อนคลายจากที่ประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (โปลิตบูโร) ซึ่งประกาศหลังการประชุมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาว่าจีนจะเปลี่ยนไปใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายพอประมาณ ใช้คันโยกทางการเงินอย่างกระตือรือร้นขึ้นมาก และเร่งการปรับนโยบายสวนทางกับวัฏจักรเศรษฐกิจในระดับที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ในแนวทางเดียวกัน บทสรุปของการประชุม CEWC ชี้ว่าจะมีการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้น และการออกพันธบัตรกู้เงินเพิ่มมากขึ้นทั้งในระดับรัฐบาลกลางและท้องถิ่น อีกทั้งยังให้คำมั่นว่าจะลดอัตราส่วนเงินสำรอง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์และลดอัตราดอกเบี้ย “ในเวลาที่เหมาะสม”
จาง จื่อเว่ย (Zhang Zhiwei) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และผู้บริหารของพินพอยต์ แอสเสต แมเนจเมนต์ (Pinpoint Asset Management) แสดงความเห็นต่อคำมั่นสัญญาของ CEWC ว่า ทิศทางนั้นชัดเจน แต่ขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นมีความสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะได้ทราบขนาดของมาตรการก็ต่อเมื่อสหรัฐประกาศอัตราภาษีนำเข้าแล้ว
นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายไปในทิศทางผ่อนปรนนี้แสดงให้เห็นว่าจีนยินดีที่จะก่อหนี้มากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการเติบโตมากกว่าความเสี่ยงทางการเงิน อย่างน้อยก็ในระยะสั้น ๆ นี้
ทั้งนี้ รายงานของ CEWC ระบุว่า “มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มั่นคง” แต่ไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน
สวี เทียนเจิน (Xu Tianchen) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต (Economist Intelligence Unit : EIU) กล่าวว่า การรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับ 5% จะค่อนข้างท้าทายในปี 2025 เนื่องจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการใช้จ่ายด้านทุน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาบอกว่า ถ้าจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจตกต่ำลงได้ และเขาคิดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2025 ไม่น่าจะต่ำกว่า 4.5%
ด้านบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า คณะนักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทวิจัยบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ (Bloomberg Economics) แสดงความเห็นว่า นโยบายในปี 2025 ของจีนจะเปลี่ยนไปสนับสนุนเศรษฐกิจมากขึ้น สัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้ตอกย้ำมุมมองของ บลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ ต่อแนวโน้มในปีหน้า นั่นคือ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลง และจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นตัวช่วย