ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นถอดหุ้น 94 บริษัท มากสุดในรอบ 11 ปี 

ผู้คนเดินผ่านป้ายดัชนีหุ้นญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น บันทึกภาพเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2024
ผู้คนเดินผ่านป้ายดัชนีหุ้นญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น บันทึกภาพเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2024 (ภาพโดย Yuichi YAMAZAKI / AFP)

คาดตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น (TSE) มีการถอดหุ้นออกจากตลาด 94 บริษัทในปีนี้ ท่ามกลางความกดดันและการบังคับใช้กฎระเบียบอันเข้มงวด นับเป็นจำนวนรายปีที่มากที่สุดในรอบ 11 ปี 

นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานในวันที่ 16 ธันวาคม 2024 ว่า คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2024 นี้ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange : TSE) ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์หลักของประเทศญี่ปุ่นจะมีการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด 94 บริษัท ซึ่งเป็นจำนวนรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 หรือในรอบ 11 ปี ส่งผลให้จำนวนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างมากเป็นครั้งแรก

การถอนบริษัทออกจากตลาดจำนวนมากนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกดดันในตลาด เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์และนักลงทุนผลักดันการยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนในตลาด ด้วยความคาดหวังว่าจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ได้ควบรวมกับตลาดหลักทรัพย์โอซากา (Osaka Stock Exchange : OSE) ในปี 2013 จนมีรูปแบบการดำเนินการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 

การเพิกถอนหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์ทั้งสาม คือ ไพร์ม (Prime) สแตนดาร์ด (Standard) และโกรท (Growth) ในปีนี้ มีจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งมีบริษัทถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป 33 บริษัท 

จำนวนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนใหม่ในปี 2024 นี้ คาดว่ารวมทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 80 บริษัทเท่านั้น จำนวนบริษัทจดทะเบียนสุทธิภายในสิ้นปี 2024 คาดว่าจะอยู่ที่ 3,842 บริษัท 

ADVERTISMENT

หลาย ๆ บริษัทถอดหุ้นออกจากตลาดด้วยความสมัครใจเพื่อที่จะเพิ่มอิสระในการบริหารจัดการ เพราะมองว่าการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในระยะกลางถึงระยะยาว ขณะที่หลายบริษัทก็ถอนหุ้นออกเพราะถูกซื้อกิจการ 

บริษัทหลักทรัพย์เผชิญความกดดันมากขึ้น หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเข้มงวดมากขึ้นเพื่อพยายมดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยในปี 2022 ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มกฎระเบียบในการที่บริษัทจะยังคงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนให้เข้มงวดขึ้น และในปี 2023 บริษัทต่าง ๆ ถูกเรียกร้องให้บริหารจัดการธุรกิจด้วยความตระหนักถึงต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) และราคาหุ้นของบริษัท 

ADVERTISMENT

ขณะที่ฝั่งผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหว (Activist shareholder) ก็แสดงความต้องการทางธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน มีข้อมูลจาก ไออาร์ เจแปน (IR Japan) บริษัทให้คำปรึกษาแก่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนับรวมข้อเสนอจากผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหวของบริษัทต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 66 ข้อเสนอ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2023 ที่มีข้อเสนอจากนักลงทุนทั้งหมด 71 คำขอ

จำนวนบริษัทที่ถอดถอนจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คาดว่าจะยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ และข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการหรือเทกโอเวอร์จะไม่จำกัดด้วยขนาดของบริษัทอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น บริษัท อาลีมองตาซิยง คูช-ตาร์ (Alimentation Couche-Tard) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของแคนาดาที่ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการของบริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิ้งส์ (Seven & i Holdings) บริษัทแม่ของร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) ซึ่งมีมูลค่าตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแค็ป สูงกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์หรัฐ (ประมาณ 1,365,599 ล้านบาท) 

นอกจากนั้น จำนวนการถือหุ้นไขว้ (Cross-shareholdings) ระหว่างบริษัทญี่ปุ่นลดน้อยลง ส่งผลให้การครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร (Hostile takeovers) เกิดขึ้นได้ง่ายยิ่งขึ้น 

โดยภายหลังทางตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้หันมามุ่งเน้นไปที่คุณภาพของบริษัทที่จดทะเบียนมากกว่าให้ความสนใจที่จำนวนของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมาตรการระยะเปลี่ยนผ่านจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2025 ส่งผลให้หลังจากนั้น บริษัทจดทะเบียนจำเป็นที่จะต้องรับมือกับมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นเพื่อที่จะดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอาไว้ได้ ซึ่งกฎใหม่ที่เข้มงวดนั้นรวมไปถึงการรักษามูลค่าตามราคาตลาดด้วย 

อีกทั้ง ยังมีการพูดถึงเรื่องการยกระดับมาตรฐานในการดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเติม ซึ่งบังคับให้บริษัทต่าง ๆ ที่ราคาหุ้นไม่โดดเด่นต้องเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป 

นอกจากนี้ นิกเคอิ เอเชีย ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับจำนวนของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงเช่นเดียวกัน โดยสมาพันธ์ตลาดหลักทรัพย์โลก (World Federation of Exchanges) และจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ประมาณการว่า จำนวนบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐมีจำนวนราว 4,000 บริษัท ณ ช่วงปลายเดือนกันยายน 2024 ซึ่งลดลงถึง 2,800 บริษัท หรือลดลง 40% จากปลายปี 2000 ขณะที่จำนวนบริษัทจดทะเบียนในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 8,000 บริษัท ซึ่งถือเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนสูงสุดในปี 2011 

ปรากฏการณ์ที่จำนวนบริษัทจดทะเบียนลดน้อยลงนี้ แสดงให้เห็นว่าการจดทะเบียนบริษัทเพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มีความสำคัญน้อยลงสำหรับบริษัท เนื่องจากต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่สูงขึ้น ขณะที่การระดมทุนนอกตลาดหลักทรัพย์สามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น 

คาซึโนริ ทาทาเบะ (Kazunori Tatabe) นักกลยุทธ์จากโกลด์แมนแซคส์ รีเสิร์ช (Goldman Sachs Research) กล่าวว่า การที่จำนวนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ลดลงน้อย ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดจะเติบโตได้ง่ายขึ้น แต่ในทางตรงข้าม บริษัทที่เลือกที่จะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปจะต้องเผชิญความกดดันที่เพิ่มมากขึ้นในการที่จะเติบโตให้ได้มากกว่าต้นทุนที่ใช้ไปในการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 

ทั้งนี้ เนื่องจากในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นยังขาดบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างบริษัท แอปเปิล (Apple) และบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม “นางฟ้าทั้งเจ็ด” (Magnificent Seven) ในสหรัฐ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจึงต้องเผชิญกับความท้าทายในการส่งเสริมการเติบโตของบริษัทในตลาด