
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังถกกันถึงความเป็นไปได้ของประเทศในการ “ก้าวต่อไป” อีกระดับ โดยการเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศบริคส์ (BRICS) กับ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Co-operation and Development) ที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อย่อ ๆ ว่า “โออีซีดี”
บริคส์ ซึ่งมีประเทศอย่าง บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และ จีน เป็นผู้ก่อตั้ง สมทบด้วยแอฟริกาใต้ในเวลาต่อมานั้น ได้ชื่อว่า เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจใหม่ที่กำลังรุดหน้า เป้าหมายก็เพื่อให้มีอำนาจต่อรองและท้าทายต่อมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกแต่เดิมได้บนเวทีระหว่างประเทศ
ในขณะที่ โออีซีดี ค่อนข้างจะเป็นตรงกันข้าม เพราะถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเวทีหารือของกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจสามารถสร้างรายได้ในระดับสูง สำหรับประสานนโยบายของชาติสมาชิกเข้าด้วยกัน พร้อมกันนั้นก็ช่วยกันผลักดันการเติบโตที่ยั่งยืนของกลุ่มอีกด้วย
การเข้าร่วมกับ บริคส์ นั้นดูเหมือนไม่ยาก ด้วยเหตุที่ว่า สถานะทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียทั้งในเวลานี้และในอนาคตนั้น เกื้อหนุนให้เกิดความเป็นไปได้ได้มาก ในปี 2024 นี้นั้น อินโดนีเซียได้รับการคาดหมายว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะบรรลุถึงระดับ 1.43 ล้านล้านดอลลาร์ ก้าวขึ้นสู่สถานะของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 16 ของโลก, ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยถูกประเมินว่า อัตราการขยายตัวของจีดีพี จะคงที่อยู่ที่ราว ๆ 5 เปอร์เซ็นต์ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ อันเนื่องมาจากการผลักดันของการบริโภคภายในประเทศ, เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดสูงถึง 77,000 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากการเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญสำหรับเทคโนโลยีพลังงานใหม่ในอนาคตอีกต่างหาก
เมื่อพิจารณาในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ตำแหน่งที่ตั้งของอินโดนีเซียก็เอื้อต่อความพยายามเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของบริคส์เช่นกัน อินโดนีเซียตั้งอยู่ตรงกลางของเส้นทางการค้าทางเรือที่สำคัญที่สุดเส้นทางหนึ่ง โดยที่ด้านหนึ่งคือมหาสมุทรอินเดีย อีกด้านคือมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะที่ การที่อินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในชาติผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มประเทศอย่าง อาเซียน และเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่าง จี20 ก็ถือเป็นปัจจัยบวกเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจกลายเป็นปัจจัยลบสำหรับอินโดนีเซียไปด้วยในตัวเช่นเดียวกัน เช่น กรณีของจีดีพี ที่แม้จะสูงที่สุดในอาเซียน แต่ถ้าหากไปเปรียบเทียบกับบรรดา “พี่เบิ้ม” ทั้งหลายในบริคส์ ก็กลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้น อย่างเช่นในกรณีของจีน ที่มูลค่าของจีดีพี เลยระดับ 14 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว หรือแม้แต่ประเทศอย่างอินเดีย มูลค่ารวมของจีดีพีก็ยังสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า อินโดนีเซียจะสามารถแสดงบทบาทได้อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่บนเวทีของบริคส์นี้
ในขณะเดียวกัน การที่อินโดนีเซียเป็นสมาชิกของการรวมกลุ่มระหว่างประเทศอยู่หลายกลุ่ม ก็เป็นได้ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบหากต้องการเข้าร่วมบริคส์ ด้วยเหตุที่ว่า บริคส์ มักแสดงท่าที รวมทั้งวาทกรรมออกมาในแนวทางต่อต้านตะวันตกอยู่บ่อยครั้ง แนวทางดังกล่าวขัดกันชัดเจนกับท่าทีและแนวทางที่อินโดนีเซียยึดถืออยู่ก่อนหน้านี้ รวมทั้งแสดงออกผ่านองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก คือ พยายามแสวงหาจุดสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายนั่นเอง
หากความพยายามเข้าไปเป็นสมาชิกบริคส์ ของ อินโดนีเซีย สะท้อนถึงความทะยานอยากในเชิงเศรษฐกิจ การแสวงหาลู่ทางความเป็นไปได้ในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ โออีซีดี ของอินโดนีเซีย กลับแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นไปเทียบเคียงกับ มาตรฐานระดับโลก ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาก็คือ ยังคงมีช่องว่างขนาดมหึมาขวางกั้นอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในแง่ของสังคมโดยรวม
ทุกวันนี้ สังคมอินโดนีเซียรุดหน้าไปไม่น้อย อัตรารู้หนังสือเพิ่มขึ้นเป็น 96 เปอร์เซ็นต์ สัดส่วนคนยากจนลดลงมาเหลือเพียง 8.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2024 กระนั้น ปัญหาสำคัญหลายอย่างยังคงอยู่ ประเด็นเรื่องความโปร่งใสยังเป็นปัญหาใหญ่ชัดเจน ดัชนีชี้วัดคอร์รัปชั่นในปีนี้ อินโดนีเซียยังคงอยู่ที่อันดับ 96 เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดความเหลื่อมล้ำที่ สูงถึง 38.2 ซึ่งแสดงให้เห็นส่วนต่างของความมั่งคั่งสูงยิ่ง ในขณะที่การปฏิรูปเชิงสิ่งแวดล้อม ยังไม่ต่อเนื่องและจริงจังอีกต่างหาก
นักวิชาการบางคนเชื่อว่า ความทะยานอยากของอินโดนีเซียจะยังคงเป็นความทะยานอยากอยู่ต่อไปอีกนานไม่น้อย แต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อย่างน้อยก็ช่วยให้ได้รู้จักตัวเองและปัญหาของตนเองมากขึ้นแน่นอน