
ครบ 1 ปี มหากาพย์บริษัทเหล็ก นิปปอน สตีล (Nippon Steel) ของญี่ปุ่นยื่นซื้อกิจการ ยูเอส สตีล (US Steel) ของสหรัฐ ซึ่งเป็นความพยายามซื้อกิจการที่สะเทือนเลื่อนลั่นระดับโลกในรอบหลายปี และเป็น “เรื่องใหญ่” ที่อาจทำให้สองประเทศพันธมิตรกินแหนงแคลงใจกันได้
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2023 ท่ามกลางภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก นิปปอน สตีล ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ได้ประกาศแผนซื้อกิจการยูเอส สตีล มูลค่าเกือบ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แน่นอนว่าข้อเสนอซื้อกิจการจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ต้องผ่านการตรวจสอบว่าไม่ขัดต่อข้อกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและกฎหมายด้านความมั่นคงของสหรัฐ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการคัดค้านจากสหภาพแรงงาน ยูไนเต็ด สตีลเวิร์กเกอร์ส (United Steelworkers) ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่ทรงอิทธิพลในสหรัฐ
การที่ข้อเสนอซื้อกิจการเกิดขึ้นในห้วงเวลานับถอยหลังสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้ยากยิ่งขึ้น เพราะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐทั้งจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างก็หาเสียงจากสหภาพแรงงาน โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ยอมให้มีการซื้อขายกิจการยูเอส สตีล เกิดขึ้นเด็ดขาด โดยให้เหตุผลว่าเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
ฝั่งญี่ปุ่นมองว่าคุยกับรัฐบาล โจ ไบเดน (Joe Bien) น่าจะง่ายกว่าคุยกับรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งมีนโยบายแข็งกร้าวในการที่จะปกป้องการผลิตในประเทศ ดังนั้น หลังทราบผลการเลือกตั้งว่าทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐ รัฐบาลญี่ปุ่นรีบกลับมาล็อบบี้รัฐบาลไบเดนอีกครั้ง โดยพยายามเร่งให้ได้รับอนุมัติภายในสิ้นปี 2024 นี้ ก่อนที่ทรัมป์จะขึ้นดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025
ขณะนี้คณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) และคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลสหรัฐ (FTC) ซึ่งเป็นหน่วยงานต่อต้านการผูกขาด กำลังพิจารณาข้อเสนอซื้อกิจการดังกล่าว และมีกำหนดต้องส่งผลการพิจารณาไปยังประธานาธิบดีไบเดนภายในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ แต่อาจจะเลื่อนการตัดสินใจออกไปได้อีกอย่างที่เคยเลื่อนมาแล้วก่อนหน้านี้
ตามการรายงานข่าวเดี่ยวของไฟแนนเชียลไทม์ส (Financial Times) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่า หน่วยงาน 9 หน่วยงานของสหรัฐซึ่งทำงานร่วมกันในฐานะ CFIUS มีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนี้ โดยมีจำนวนหนึ่งที่ลงความเห็นว่าดีลนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ เห็นควรให้ซื้อขายกิจการได้ แต่อีกจำนวนหนึ่งคัดค้าน
ต่อมาในวันที่ 14 ธันวาคม กระทรวงการคลังสหรัฐซึ่งเป็นประธาน CFIUS ได้ส่งจดหมายไปถึงทั้งสองบริษัทว่า CFIUS กำลังพยายามทำงานเพื่อให้ได้ข้อสรุปทันเวลาที่กำหนดไว้
ในท้ายที่สุดแล้ว หากคณะทำงานไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ จะเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดีไบเดนที่จะต้องตัดสินใจ
นิปปอน สตีล ต้องการครอบครองยูเอส สตีล มาก เพราะหวังให้ยูเอส สตีล เป็นกำลังหลักในการขยายการผลิตและขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญมากต่อการเติบโตของบริษัท
ทาคาฮิโระ โมริ (Takahiro Mori) รองประธานและผู้นำการเจรจาข้อตกลงของนิปปอน สตีล กล่าวว่า ตลาดสหรัฐมีความสำคัญต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของนิปปอน สตีล เนื่องจากเป็นตลาดเหล็กคุณภาพสูงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีความเสี่ยงจากจีนเพียงเล็กน้อย
นิปปอน สตีล ตั้งเป้าว่าหลังซื้อยูเอส สตีล ได้แล้ว จะเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กทั่วโลกเป็น 85 ล้านเมตริกตันต่อปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ 65 ล้านตัน และหวังให้ยูเอส สตีล เป็นกำลังหลักในการบรรลุเป้าหมายระยะยาวที่ตั้งเป้าจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 100 ล้านตัน
แต่คำถามสำคัญ คือ นิปปอน สตีล จะฝ่าด่านทรัมป์อย่างไร ? เพราะคาดการณ์ได้อย่างชัดเจนว่าทรัมป์จะต้องขัดขวางดีลนี้ เพื่อรักษาฐานเสียงของเขา ซึ่งก็คือคนทำงานในสหภาพแรงงาน และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาได้ดำเนินมาตรการที่สอดคล้องกับนโยบายปกป้องการผลิตภายในประเทศ
เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทรัมป์โพสต์แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า “ผมไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดที่บริษัท ยูเอส สตีล ซึ่งเคยยิ่งใหญ่และทรงอำนาจจะถูกซื้อโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งในกรณีนี้คือ นิปปอน สตีล ของญี่ปุ่น”
“เราจะทำให้ ยูเอส สตีล กลับมาแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยใช้มาตรการจูงใจทางภาษีและภาษีศุลกากร และมันจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ !”
“ในฐานะประธานาธิบดี ผมจะขัดขวางไม่ให้ข้อตกลงนี้เกิดขึ้น ผู้ซื้อต้องระวัง !!!” ทรัมป์ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียประกาศอย่างแข็งกร้าว
ต่อมาในวันเดียวกันนั้น นิปปอน สตีล ได้ออกแถลงการณ์ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญและประโยชน์ของข้อตกลงซื้อกิจการดังกล่าว โดยบอกว่า นิปปอน สตีล ตั้งใจจะลงทุนมากกว่า 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกของบริษัท นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และจะรักษาตำแหน่งงานในสหรัฐ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะ “เสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ” ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้
นิปปอน สตีล ได้เตรียมตัวสำหรับการล็อบบี้ทรัมป์มาตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยได้จ้าง ไมก์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐในรัฐบาล “ทรัมป์ 1” เป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยเรื่องการล็อบบี้ให้บรรลุดีล
ณ ตอนนี้ ทาคาฮิโระ โมริ ผู้บริหารของนิปปอน สตีล ค่อนข้างมั่นใจว่าจะปิดดีลได้ภายในสิ้นปีนี้ ภายใต้การบริหารของไบเดน เขากล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของทรัมป์ในการดึงดูดการลงทุน และบอกว่าบริษัทของเขาต้องพัฒนาความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว อนาคตของดีลนี้ขึ้นอยู่กับทรัมป์เท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งมองว่า ต่อให้รัฐบาลไบเดนอนุมัติผ่านดีลนี้ก่อนที่ทรัมป์จะมา แต่เมื่อถึงวาระของทรัมป์ ทรัมป์ก็อาจจะประกาศให้ข้อตกลงนี้เป็น “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” เพื่อคว่ำดีลนี้อยู่ดี เว้นแต่ว่าในการเจรจาล็อบบี้จะมีอะไรที่ทำให้เขายอมเปลี่ยนใจได้
อ้างอิง :