
รายงานจากนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ระบุว่า กรณีฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) และนิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) จะเข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการ ถือเป็นการช่วงชิงความเร็วก่อนความเป็นไปได้ของการยื่นข้อเสนอซื้อกิจการจากหงไห่ พรีซีชั่น อินดัสทรี หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฟ็อกซ์คอน (Foxconn) จากไต้หวัน
อย่างที่รู้ว่าธุรกิจหลักของฟ็อกซ์คอนน์คือการผลิตตามสัญญาจ้าง โด่งดังจากการประกอบชิ้นส่วนไอโฟน (iPhone) ให้แอปเปิล (Apple) แต่เมื่อปี 2019 ได้ประกาศว่าจะเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ฟ็อกซ์คอนน์กำลังทำงานหลังฉากเพื่อที่จะซื้อหุ้นนิสสัน ความเคลื่อนไหวที่สังเกตได้มาสักระยะ 2-3 เดือนแล้ว
จุน เซกิ (Jun Seki) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านยุทธศาสตร์ในส่วนธุรกิจอีวีของฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารเบอร์ 3 ของนิสสัน หลังจากดำรงตำแหน่งประธานบริษัทนิเด็ค (Nidec) ผู้ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า เซกิได้รับเชิญให้ร่วมงานในฟ็อกซ์คอนน์ในปี 2023 มีภารกิจระยะยาวในการนำพาฟ็อกซ์คอนน์บรรลุเป้าหมายการครองส่วนแบ่งตลาดรถอีวีทั่วโลก 40% เซกิก็ได้หันความสนใจไปที่อดีตนายจ้างเก่าอย่างนิสสัน
ฟ็อกซ์คอนน์ ได้ประกาศแผนที่จะพัฒนาอีวีของบริษัทขึ้นเองโดยใช้เทคโนโลยีส่วนประกอบของชาร์ป บริษัทในเครือ สัญชาติญี่ปุ่น และหากฟ็อกซ์คอนน์หาทางลงทุนในนิสสันได้ ซึ่งผลิตรถอีวีได้คราวละปริมาณมากเป็นที่แรกของโลก คือรุ่นลีฟ (Leaf) ในปี 2010 จะส่งผลให้ฟ็อกซ์คอนน์สามารถซื้อโนว์ฮาวการผลิตอีวีและกำลังการขายทั่วโลก
ความเคลื่อนไหวที่ว่านี้คือ ฟ็อกซ์คอนน์สนใจหุ้นนิสสันที่บริษัทเรโนลต์ (Renault) ฝากไว้ในทรัสต์แบงก์
บริษัทเรโนลต์ (Renault) ซื้อหุ้นนิสสันในปี 1999 ในช่วงที่นิสสันมีปัญหาการเงิน ข้อตกลงเข้าซื้อหุ้นทำให้เรโนลต์กลายเป็นผู้ถือหุ้นนิสสันรายใหญ่ที่สุด ด้วยสัดส่วน 43% จนในปี 2023 สองบริษัทตกลงปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ด้านเงินทุนไปเป็นหุ้นส่วนที่มีฐานะเท่าเทียมกัน ทำให้สองบริษัทต่างถือหุ้นในบริษัทกันและกันในสัดส่วน 15% เท่ากัน จากการที่เรโนลต์ลดสัดส่วนการลงทุนของตนเองลง
เมื่อเดือนกันยายนหุ้นนิสสัน 22.8% ถือโดยทรัสต์แบงก์ และดูเหมือนว่าฟ็อกซ์คอนน์จะสนใจหุ้นเหล่านี้ เพื่อมีอิทธิพลต่อธุรกิจนิสสัน และเมื่อนิสสันรู้ความเคลื่อนไหวของฟ็อกซ์คอนน์ นิสสันจึงได้จัดให้มีการเจรจาหลังฉากเพื่อหาหนทางปกป้องตัวเอง
ในเดือนพฤศจิกายน นิสสันประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กรโดยจะเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คนทั่วโลก และลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% แต่มีความเสี่ยงที่นิสสันจะถูกบังคับให้ปรับโครงสร้างองค์กรอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น หากฟ็อกซ์คอนน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหารของนิสสัน
ฮอนด้าซึ่งเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับนิสสันเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แสดงความกังวลจากความเคลื่อนไหวของฟ็อกซ์คอนน์ เจ้าหน้าที่ฮอนด้าเตือนนิสสันว่า หากนิสสันและฟ็อกซ์คอนน์ร่วมงานกัน ฮอนด้าจะระงับความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันเสีย
ไม่เพียงแค่เจ้าหน้าที่ แต่รวมถึงในส่วนบริษัทฮอนด้าด้วยที่กังวลว่าความเป็นหุ้นส่วนระหว่างนิสสันและฮอนด้าจะถูกทำให้พังทลายลงจากความเคลื่อนไหวของฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนนิสสัน-ฮอนด้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์การเติบโตของนิสสัน
ในเดือนธันวาคมนี้ ฟ็อกซ์คอนน์ ได้เร่งดำเนินกิจกรรมหลายอย่างแบบไม่เปิดเผย และทางนิสสันได้รับข้อมูลว่า เซกิกำลังวางแผนที่จะพบกับลูก้า เด มีโอ (Luca de Meo) ซีอีโอเรโนลต์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
“คงไม่น่าแปลกใจหากฟ็อกซ์คอนน์เข้าหาเรโนลต์เรื่องการซื้อหุ้นนิสสันในการพบปะดังกล่าว” เจ้าหน้าที่นิสสันกล่าว
แรงกดดันต่อฝ่ายบริหารของนิสสันเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เมื่อมีการเปิดเผยว่านักลงทุนที่เป็นนักเคลื่อนไหวได้ซื้อหุ้นของบริษัท สภาพแวดล้อมทางธุรกิจก็มีความไม่แน่นอนมากขึ้น เนื่องจากภัยคุกคามของภาษีที่สูงขึ้นจากการเข้ามาบริหารประเทศสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเดือนมกราคมปีหน้า
ดังนั้น จึงไปเร่งการประกาศเจรจาควบรวมกิจการของฮอนด้าและนิสสัน โดยที่ไม่มีฟ็อกซ์คอนน์อยู่ในสมการ ซึ่งจะเริ่มอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า จะส่งผลให้การผนวกรวมบริษัททั้งสาม ซึ่งคือฮอนด้า นิสสัน และอาจรวมถึงมิตซูบิชิ มอร์เตอร์ส เพราะนิสสันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด เข้าด้วยกันจะได้เป็นกลุ่มยานยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมียอดขายมากกว่า 8 ล้านหน่วย และทำให้สามารถแข่งขันกับเทสลาและผู้ผลิตอีวีของจีนได้