ท่าทีของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ยังไม่เห็นพัฒนาการทางบวกว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสงครามการค้าได้ พอล กรุนวอลด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทระดับโลกอย่างสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) โกลบอล ทำนายว่า หากสถานการณ์พัฒนาไปสู่สงครามการค้า อาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกหายไปราว 1% หรือกว่า 1 ใน 4 ของการขยายตัวที่คาดไว้ แทนที่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในระดับ 3% กว่า ๆ ก็จะเหลือเพียง 2%
เอสแอนด์พีระบุว่า ถึงแม้พื้นฐานของตลาดมีความแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนว่ารอยแตกกำลังชัดขึ้นกว่าเดิม จากการที่เค้าลางสงครามการค้าเริ่มปรากฏ เราอาจเห็นประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐและจีนตั้งกำแพงภาษีในการค้าขายระหว่างกัน สิ่งนี้จะไปถ่วงรั้งการแกว่งขึ้นของเศรษฐกิจโลก
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเล็ต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“เส้นฐานของเศรษฐกิจโลกปัจจุบันอยู่ในภาวะยกตัวขึ้นพร้อมกัน แต่ความขัดแย้งทางการค้าสร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลก แม้จะไม่ถึงกับทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย (recession) แต่สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือเราจะเห็นเศรษฐกิจของทั้งอเมริกา จีน และยุโรป เติบโตน้อยลง”
เอสแอนด์พีไม่ใช่แห่งเดียวที่ประเมินว่าสงครามการค้าจะกระทบต่อจีดีพีโลกราว 1% ธนาคารกลางสหภาพยุโรป ก็ทำนายในทำนองเดียวกัน คือจีดีพีจะหดตัวถึง 1% ภายใน 1 ปีแรกหลังจากมีการตั้งกำแพงภาษีระหว่างกัน และจะทำให้ปริมาณการค้าสินค้าโลกหดตัว 3%
ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าจะเติบโต 3.9% สูงกว่าปีที่แล้วที่ขยายตัว 3.8% ส่วนองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ประเมินว่าปีนี้จะขยายตัว 3.8% ปีหน้า 3.9% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลกซึ่งจีดีพีเติบโตในระดับ 4% แต่ทั้งไอเอ็มเอฟและโออีซีดี ต่างกังวลว่าสงครามการค้าจะเป็นสาเหตุใหญ่ให้เกิดด้านลบ
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเริ่มขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อลดปัญหาขาดดุลการค้ากับจีน ซึ่งในปีที่แล้วสหรัฐขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์ 3.752 แสนล้านดอลลาร์ โดยยื่นข้อเสนอให้จีนเพิ่มการค้าซื้อสินค้าอเมริกัน ขณะที่ฝ่ายจีนก็ได้ประกาศตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
แม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะเปิดเจรจากันที่กรุงปักกิ่งเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ต้องกลับบ้านมือเปล่าทั้งที่ถูกคาดหวังว่าควรจะได้รับคำมั่นจากจีนว่าจะซื้อสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐมากขึ้น
สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อสหรัฐออกมาประกาศสัปดาห์ก่อนว่าจะเดินหน้าเก็บภาษีสินค้าจีน 25% มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยกำหนดจะประกาศรายชื่อสินค้านำเข้าจากจีนรอบสุดท้ายในวันที่ 15 มิถุนายน จึงทำให้จีนออกมาประกาศเช่นกันว่า จีนยังเปิดประตูสำหรับการเจรจา แต่ข้อตกลงการค้าและธุรกิจใด ๆ ที่จีนทำไว้กับสหรัฐก่อนหน้านี้จะเป็นโมฆะทันที หากสหรัฐยังเดินหน้าลงมือเก็บภาษี
นอกจากนี้ในสัปดาห์ก่อน สหรัฐได้ประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุด หลังจากก่อนหน้านี้เพียงแค่ยกเว้นให้ชั่วคราว ทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับการโจมตีจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (จี 7) โดยจี 7 เรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกการเก็บภาษีดังกล่าวเพราะบ่อนทำลายการค้าเสรีโลก และจะทำให้เกิดความร้าวฉานในกลุ่มจี 7
หลายประเทศนอกจากจะตอบโต้สหรัฐด้วยการเตรียมขึ้นภาษีแล้ว ยังนำประเด็นนี้เข้าร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ด้วย เช่นอินเดีย ซึ่งถูกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25 และ 10% ตามลำดับ