
เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายและปัจจัยลบทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ การกลับมาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอย่างน้อย 60% ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจจีนในช่วงหลายปีต่อจากนี้
ล่าสุดมีรายงาน “พยากรณ์เศรษฐกิจเอเชียระยะกลาง ครั้งที่ 9” (9th Medium-term Asian Economic Forecast) ของศูนย์วิจัยด้านเศรษฐกิจแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Center for Economic Research : JCER) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2024 วิเคราะห์ว่า หากโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจีนอย่างน้อย 60% ตามที่เสนอไว้ในช่วงหาเสียง ผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อการส่งออกของจีนจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะผนวกรวมกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจจีนแย่ลง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอาจต่ำกว่า 2% ในปี 2035
JCER ประมาณการผลกระทบจากอัตราภาษีของทรัมป์ต่อการส่งออกของจีนว่า หากสหรัฐจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% การส่งออกของจีนจะหดตัวลง 2.3% และหากจัดเก็บภาษี 60% การส่งออกจะลดลงเกือบ 14%
ประมาณการในสถานการณ์กรณีฐาน (Base Case) ซึ่งคู่ค้าของสหรัฐที่ได้รับผลกระทบไม่ได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ที่มีนัยสำคัญ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนจะชะลอตัวลงเหลือโต 3.4% ในปี 2025 จากที่คาดว่าจะโต 4.7% ในปีนี้ แล้วจะฟื้นกลับมาโตได้ 4% ในปี 2026 แต่ก็จะชะลอตัวลงอีกจนกระทั่งต่ำกว่า 3% ในปี 2030 จากนั้นจะลดลงเหลือโตเพียง 1.8% ในปี 2035
JCER มองว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกในรูปแบบ “การค้าที่ซบเซา” ซึ่งหากปริมาณการค้าโลกลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงที่เกิดวิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคอื่น ๆ นอกเหนือจากจีนจะลดลงประมาณ 1 จุดเปอร์เซ็นต์ (Percentage Point) เมื่อเทียบกับกรณีฐานที่ไม่มีปัจจัยนี้
นอกจากนั้น JCER ยังจำลองฉากทัศน์ความเสี่ยงที่สหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% และจากประเทศอื่น 20% แล้วประเทศคู่ค้าตอบโต้สหรัฐด้วยการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่เท่ากัน และรัฐบาลทรัมป์จะส่งผู้อพยพกลับประเทศ 2 ล้านคนต่อปี ในระหว่างปี 2025 ถึง 2028
ตามฉากทัศน์นี้ มูลค่าการส่งออกทั่วโลก ณ ปี 2035 จะลดลง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับกรณีฐานที่ไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ทั้งนี้ ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือสหรัฐเอง โดยการเติบโตของจีดีพีสหรัฐจะลดลงต่ำกว่ากรณีฐานอย่างมีนัยสำคัญ
JCER สรุปคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนว่า ความทะเยอทะยานของจีนที่ต้องการแซงสหรัฐขึ้นไปเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกนั้น “แทบจะเป็นไปไม่ได้” เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคขวางทางอยู่ ทั้งความทุกข์ยากของภาคอสังหาริมทรัพย์และความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ความกังวลว่าการบริหารประเทศในวาระที่สามของสี จิ้นผิง จะกลายเป็นเผด็จการ จำนวนประชากรที่ลดลงมากกว่าที่คาด และความเสี่ยงอื่น ๆ มากมายที่บดบังอนาคตของจีน
รายงานของ JCER ระบุตัวเลขให้เห็นภาพว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่เป็นตัวเงิน ณ ปีปัจจุบัน (Nominal GDP) ของจีนมีขนาดคิดเป็นเพียง 60% ของสหรัฐ และจะเพิ่มเป็น 70% ในปี 2035 แต่ถึงอย่างนั้น เศรษฐกิจจีนก็จะไม่สามารถมีขนาดใหญ่แซงหน้าสหรัฐได้