
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
ถึงแม้จะมีนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อย เชื่อว่านโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งการจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ การเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ รวมทั้งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจทำให้เงินเฟ้อสหรัฐขยับสูงขึ้นไปอีก และนั่นอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงอีก
อย่างไรก็ตาม มีมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งที่เห็นว่า นโยบายของทรัมป์อาจไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้ออย่างที่คิด
ในงานประชุมสมาคมเศรษฐกิจอเมริกัน ที่ซานฟรานซิสโกเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งถือเป็นงานชุมนุมของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ “เบน เบอร์แนงคี” อดีตประธานเฟด คือหนึ่งในนั้นที่ชี้ว่า นโยบายของทรัมป์อาจมีผลกระทบน้อยมากต่ออัตราเงินเฟ้อ เพราะในประเด็นการลดภาษีที่กำลังจะหมดอายุลงนั้น ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดี ก็เชื่อว่าต้องมีการต่ออายุออกไปอยู่แล้ว
ส่วนประเด็นที่ห่วงกันว่าการเนรเทศผู้อพยพจำนวนมาก อาจทำให้เงินเฟ้อเพราะการขาดแคลนแรงงานจะทำให้ค่าจ้างสูงขึ้น เพิ่มภาระต้นทุนแก่ผู้ผลิตสินค้านั้น อดีตประธานเฟดเห็นว่า ถ้ามีประชากรลดลงก็ย่อมหมายถึงว่ามีคนซื้อสินค้าและบริการน้อยลง ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าผ่อนคลายลง
“ถึงแม้ผลกระทบจากการเก็บภาษีสินค้านำเข้ายากมากที่จะคาดการณ์ เพราะเราไม่รู้ว่า ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการจะเก็บมันแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร หรือว่าเพียงแค่ใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง แต่ดูเหมือนว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนทิศทางของเงินเฟ้อแบบรุนแรง”
คริสตินา โรเมอร์ อาจารย์เศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และอดีตที่ปรึกษารัฐบาลบารัก โอบามา มีความเห็นทำนองเดียวกันว่า ในแง่ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายแบบน่าตกใจ แต่ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นเมื่อทรัมป์พยายามจะเข้าไปแทรกแซงความพยายามของ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ในการดึงเงินเฟ้อลงมา
“หากมีการเข้าไปแทรกแซงควบคุมความเป็นอิสระของเฟด ผลกระทบจะตามมาแน่ แต่เชื่อว่าเหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น”
เจสัน เฟอร์แมน อาจารย์เศรษฐศาสตร์ ฮาร์วาร์ด แสดงความกังวลเล็กน้อยในประเด็นความเป็นอิสระของเฟด หากทรัมป์พยายามจะเอาคนของตัวเองเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเฟด แต่ในส่วนนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์นั้น เชื่อว่าจะมีผลกระทบน้อยมากต่อเงินเฟ้อ
คาเรน ไดแนน อาจารย์เศรษฐศาสตร์ ฮาร์วาร์ด ระบุว่า ถึงแม้การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าและการเนรเทศผู้อพยพ อาจสร้างผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและเร่งเงินเฟ้อ แต่ความมั่นใจของผู้บริโภคและภาคธุรกิจแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเชื่อว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจจะยังอยู่ในสภาพดี เติบโตแข็งแกร่งและเงินเฟ้อลดลง
ทางด้าน ไมเคิล เพ็ตทิส นักวิชาการสถาบันคาร์เนกี เอ็นดาวเมนต์เพื่อสันติระหว่างประเทศ และอาจารย์ด้านการเงิน มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขียนบทความตีพิมพ์ในนิตยสาร Foreign Affairs เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐแตกต่างจากทศวรรษ 1930 ในลักษณะเกือบจะตรงกันข้าม ดังนั้นการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะไม่ก่อผลเสียร้ายแรงแบบทศวรรษ 1930 แต่กลับจะเพิ่มการจ้างงาน เพิ่มค่าจ้างและยกระดับความเป็นอยู่ของชาวอเมริกัน
เพ็ตทิสระบุว่า กฎหมายภาษีศุลกากรของสหรัฐ ที่เรียกว่า Smoot-Hawley Tariff Act ซึ่งผ่านออกมาบังคับใช้ในปี 1930 สร้างหายนะให้กับเศรษฐกิจ เพราะเป็นการนำมาใช้ในช่วงที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression ซึ่งความต้องการซื้อลดต่ำลงเนื่องจากทุกประเทศก็ใช้วิธีเดียวกันคือตั้งกำแพงภาษี อีกทั้งเวลานั้นสหรัฐเป็นผู้เกินดุลการค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลก การผลิตในประเทศเกินความต้องการบริโภคภายในประเทศ
แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐ เกือบจะตรงกันข้ามกับทศวรรษ 1930 เพราะสหรัฐมีการบริโภคสูงจนล้นเกิน อีกทั้งไม่ได้เป็นผู้ผลิตจนเกินความต้องการบริโภคอีกต่อไป
“ถึงแม้การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ดูเหมือนเป็นการเก็บภาษีจากคนอเมริกันเพราะต้องจ่ายแพงขึ้น แต่มันจะเป็นการสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศที่จะทำให้เกิดการจ้างงาน เพิ่มค่าจ้าง และนำไปสู่การบริโภคเพิ่มขึ้น” เพ็ตทิสระบุ