
ราคาน้ำมันดิบสูงสุดในรอบ 4 เดือน จากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอุตสาหกรรมพลังงานรัสเซียรอบใหม่ เพิ่มความท้าทายธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐว่าอาจจะจัดการเงินเฟ้อยาก ต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับปัจจุบันต่อไป
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานในวันที่ 13 มกราคม 2025 (เวลาไทย) ว่า ราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอุตสาหกรรมพลังงานรัสเซียรอบใหม่ ซึ่งอาจทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่ตึงตัวอยู่แล้วลดน้อยลงอีก
ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (Brent) เพิ่มขึ้นไปอยู่เหนือ 81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นเกือบ 4% ในการซื้อขายเซสชั่นก่อนหน้า ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) อยู่ที่เกือบ 78 ดอลลาร์ หลังจากที่สหรัฐประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงและทะเยอทะยานที่สุดต่ออุตสาหกรรมน้ำมันรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มกราคม โดยกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ บริษัทประกันภัย และเรือบรรทุกน้ำมัน 183 ลำ
นอกจากปัจจัยเรื่องการคว่ำบาตรล่าสุดแล้ว ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ปริมาณสำรองน้ำมันของสหรัฐที่ลดลง และการคาดเดาว่าทีมบริหารของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐอาจเข้มงวดมาตรการควบคุมการส่งออกน้ำมันของอิหร่านในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บวกกับมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลโจ ไบเดน (Joe Biden) ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง อาจส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักในตลาดอีกครั้ง และมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนกรอบการทำงานของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร หรือโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งมีแผนจะเริ่มผ่อนปรนมาตรการควบคุมปริมาณการผลิตในช่วงปลายปี 2025 นี้ หลังจากมีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง
ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นนี้อาจเป็นความท้าทายสำหรับธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด (Federal Reserve System) หากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เงินเฟ้อยังหนืดต่อไป ทั้งนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้นักลงทุนได้ปรับลดความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในปีนี้ลงแล้ว หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ขณะที่แรงกดดันด้านราคาก็ยังคงมีอยู่