‘พาน กงเซิ่ง’ จีนจะเปลี่ยนโฟกัสนโยบายมหภาค หลังเซอร์ไพรส์ ขึ้นทอล์กเวทีฮ่องกง

ภาพ เอเอฟพี

พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการแบงก์ชาติจีนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีด้านการเงินระดับเอเชียในฮ่องกง ซึ่งย้ำเน้นว่านโยบายเศรษฐกิจมหภาคจีนจะเปลี่ยนไปมุ่งเน้นการบริโภคมากขึ้น หลังจากเผชิญปัญหาด้านดีมานด์ในประเทศที่มีไม่พอ 

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า จีนจะเปลี่ยนโฟกัสนโยบายมาเน้นการบริโภคมากขึ้น และละทิ้งการมุ่งเน้นการลงทุนแต่เพียงอย่างเดียวอย่างในอดีต อ้างอิงคำกล่าวของผู้ว่าการธนาคารกลางจีน ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยมีบทบาทหลักในการกำหนดเศรษฐกิจจีนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“ลำดับความสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคควรเปลี่ยนจากการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้นในอดีต เป็นการส่งเสริมทั้งการบริโภคและการลงทุน โดยให้ความสำคัญกับการบริโภคมากขึ้น” พาน กงเซิ่ง (Pan Gongsheng) ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีเอเชียน ไฟแนนเชียล ฟอรัม (Asian Financial Forum) ในฮ่องกงเมื่อ 13 มกราคม

ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ พานปรากฏตัวบนเวทีนี้ ซึ่งตรงกับช่วงที่แบงก์ชาติจีนออกแถลงการณ์เกี่ยวกับมาตรการใหม่เพื่อปกป้องเงินหยวน โดยดำเนินการหลังจากที่ค่าเงินหยวนร่วงลงใกล้ระดับต่ำสุดที่เป็นประวัติการณ์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติจีนขยายความจากครั้งก่อน ๆ บอกเพิ่มเติมว่าจีนจะพยายามเพิ่มรายได้ของประชาชน เพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับผู้บริโภค และปรับปรุงระบบประกันสังคมเพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยอ้างปัญหาดีมานด์ภายในประเทศที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะดีมานด์การบริโภค นอกเหนือจากปัญหาภายในประเทศลำดับต้นอื่น ๆ แล้ว

แม้ว่าจีนน่าจะบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างเป็นทางการที่ประมาณ 5% สำหรับปี 2024 แต่ความกังวลยังคงเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป ทั้งมาจากปัจจัยภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐ ซึ่งทรัมป์ขู่เอาไว้นั้น จะไปลดแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจจีนในช่วงเวลาที่จีนกำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่ตกต่ำ ตลอดจนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจที่ซบเซา

ADVERTISMENT

ในการประชุมนโยบายประจำปีเมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ให้คำมั่นแล้วว่าจะกระตุ้นการบริโภคเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดในปีนี้ นับเป็นการประกาศครั้งที่สองในรอบอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ

เมื่อ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา แถลงการณ์กระทรวงการคลังของจีนระบุว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเน้นที่การกระตุ้นการบริโภคมากขึ้นเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในปีหน้า หลังจากการประชุมระดับชาติสองวันของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแผนงานคลังในปี 2025

ADVERTISMENT

แต่จนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่จีนทำอย่างที่พูดได้อย่างจำกัด โดยมีแผนที่จะขยายโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าสำหรับผู้บริโภคที่ให้ส่วนลดในการซื้อเครื่องใช้ในบ้านและรถยนต์ พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการจ่ายเงินบำนาญและเงินอุดหนุนประกันสุขภาพ ซึ่งน่าจะเป็นการพยายามแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการยกเครื่องปฏิรูปไปเลย โดยใช้นโยบายแบบผสมผสานกันไป ซึ่งหมายถึงยังคงสนับสนุนการลงทุนอยู่

ในอดีตจีนเคยพึ่งพาการใช้จ่ายด้านทุน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์และการผลิต เพื่อรองรับเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผลที่ตามมาคือหนี้สะสม ผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำ และความไม่สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ของสินค้าที่เลวร้ายลง ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานำไปสู่การลงทุนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นโรงหลอมทองแดง ผู้ผลิตเหล็ก การผลิตแผงโซลาร์มากเกินจนบริษัทผลิตแผงโซลาร์ต้องเข้าโครงการวินัยจำกัดโควตาการผลิต เป็นต้น

การใช้จ่ายของครัวเรือนจีน ซึ่งรวมถึงสินค้าและบริการที่รัฐบาลจัดหาให้ประชาชน คิดเป็นเพียงประมาณ 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งต่ำอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งมีการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนระดับ 60-80%