
ทีมเศรษฐกิจภายใต้ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังศึกษาแผนการขึ้นภาษีคู่ค้าแบบเดือนต่อเดือนที่ 2% ถึง 5% ตามอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดี เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ทีมเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐกำลังหารือกันถึงแนวทางการขึ้นภาษีสินค้าระหว่างประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยตามแผนจะขึ้นภาษีคู่ค้าแบบเดือนต่อเดือน มุ่งเพิ่มอำนาจต่อรองในขณะเดียวกันช่วยหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
แหล่งข่าวกล่าวว่า แนวคิดเกี่ยวข้องกับอัตราภาษีศุลกากรแบบขั้นบันได ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ถึง 5% ต่อเดือน และจะต้องอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารภายใต้พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act) โดยข้อเสนอดังกล่าวยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังไม่ได้นำเสนอต่อทรัมป์ นับเป็นสัญญาณว่าแนวทางแบบขั้นบันไดรายเดือนยังอยู่ในช่วงต้นของกระบวนการพิจารณา
ทีมที่ปรึกษาที่ทำงานเกี่ยวกับแผนดังกล่าว ได้แก่ สกอตต์ เบสเซนต์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เควิน แฮสเซตต์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ และสตีเฟน มิรัน ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
หากทำตามที่หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024 จะถือเป็นอัตราภาษีศุลกากรสากล เรียกเก็บจากทุกประเทศ ซึ่งทรัมป์ได้เสนออัตราภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% ถึง 20% สำหรับสินค้าที่นำเข้าทั้งหมด และ 60% หรือสูงกว่าสำหรับสินค้าที่ส่งมาจากจีน
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงวันเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้ นักเศรษฐศาสตร์สามารถคาดเดาได้เพียงว่าสงครามการค้าของทรัมป์จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร ซึ่งทำให้ภาพรวมของธนาคารกลางสหรัฐมีความซับซ้อน เนื่องจากภัยคุกคามจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ถือเป็นความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโต ขณะเดียวกัน อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อหากประเทศต่าง ๆ ตอบโต้