
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในตลาดน้ำมันโลก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ประกาศชุดมาตรการแซงก์ชั่น ต่อการค้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียระลอกใหม่ออกมา ที่ว่ากันว่า เป็นมาตรการปิดกั้นที่ครอบคลุมกว้างขวางที่สุดและกระทบต่อรายได้จากน้ำมันของรัสเซียมากที่สุดออกมา
มาตรการใหม่ที่ออกมาเพิ่มเติมดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ประกาศออกมานี้ มุ่งเป้าโดยตรงไปที่ Gazprom Neft กับ Surgutneftegas และกิจการในเครือ ซึ่งทำหน้าที่สำรวจ ผลิต และจัดจำหน่ายน้ำมันดิบให้กับรัสเซีย ควบคู่ไปกับเรือบรรทุกน้ำมัน 183 ลำ ซึ่งทำหน้าที่ขนถ่ายน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแบบไม่ไยดีกับการแซงก์ชั่นก่อนหน้านี้
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกน้ำมันเก่า ๆ ที่บริหารจัดการโดยบริษัทซึ่งไม่ได้จดทะเบียนและเกี่ยวข้องกับชาติตะวันตก เป็นที่รู้จักกันในวงการในชื่อ “กองเรือเงา” นอกจากนั้นยังครอบคลุมไปถึงเครือข่ายทั้งหมดที่มีบทบาทในการซื้อขายน้ำมันแบบหลบเลี่ยงแซงก์ชั่นเหล่านี้ด้วย
ขบวนการเหล่านี้ถูกใช้ในการลำเลียงน้ำมันจากรัสเซีย ไปยังจีนและอินเดีย มาตั้งแต่ปี 2022 หลังจากที่กลุ่มจี 7 ประกาศมาตรการแซงก์ชั่นออกมา และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ “วลาดิมีร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซีย สามารถปรับเปลี่ยนการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่แต่เดิมเคยจัดส่งให้ยุโรป มายังภูมิภาคเอเชียแทน บางส่วนของเรือบรรทุกน้ำมันเหล่านี้ยังทำหน้าที่ลำเลียงน้ำมันให้กับอิหร่าน ที่ถูกคว่ำบาตรด้วยเช่นเดียวกัน
สำนักงานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ระบุไว้ในถ้อยแถลงเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า นี่คือการแซงก์ชั่นที่สำคัญที่สุดที่สหรัฐกระทำต่อภาคอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซีย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังคงเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับทำสงครามที่ใหญ่ที่สุดของปูติน
ในขณะที่ โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี้ ประธานาธิบดียูเครน แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย ตามมาเช่นกันว่า มาตรการที่ประกาศออกมาครั้งนี้จะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับทางการรัสเซีย และยิ่งรายได้จากน้ำมันของปูตินลดน้อยลงมากเท่าใด โอกาสที่สันติภาพจะเกิดขึ้นตามมาก็เร็วขึ้นเท่านั้น
เจ้าหน้าที่อเมริกันที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยืนยันว่า มาตรการครั้งใหม่นี้ครอบคลุมทั่วทั้งห่วงโซ่การผลิตและการจัดจำหน่ายน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย ซึ่งจะทำให้ยิ่งมีความพยายามดิ้นรนจะหลบเลี่ยงหรือฝ่าฝืน รัสเซียก็ต้องจ่ายต้นทุนสูงมากขึ้นตามมาแน่นอน
แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องอยู่ในแวดวงการค้าน้ำมันของรัสเซีย และในวงการการกลั่นน้ำมันของอินเดีย ให้ความเห็นตรงกันว่า การแซงก์ชั่นรอบใหม่นี้สามารถสร้างปัญหาจนถึงขั้น ปิดกั้น การส่งออกน้ำมันของรัสเซียให้กับผู้ซื้อรายสำคัญอย่างจีน และอินเดียแน่นอน
ข้อเท็จจริงที่สะท้อนเรื่องนี้ออกมาก็คือ ระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นทันที หลังจากที่เอกสารเกี่ยวกับการแซงก์ชั่นครั้งนี้ แพร่หลายออกมาถึงมือบรรดาผู้ค้าน้ำมันในยุโรปและเอเชีย ราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ ที่เป็นราคาอ้างอิงในตลาดโลก ขยับสูงขึ้นจนเกือบถึง 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไมสหรัฐอเมริกา ถึงกล้าใช้มาตรการเด็ดขาดครั้งนี้ โดยไม่กังวลว่าจะกระทบต่อราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาเอาเลย คำตอบก็คือ สหรัฐอเมริกาคำนวณแล้วว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกไม่ได้ตึงตัวมากเหมือนอย่างที่ผ่านมา ในขณะที่สหรัฐเองยังมีแหล่งน้ำมันทดแทนอยู่อีกหลายแหล่ง ทั้งจากการผลิตภายในประเทศเอง รวมถึงจากประเทศผู้ผลิตอย่าง กายอานา, แคนาดา และบราซิล
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นต่อเนื่องจากการประกาศแซงก์ชั่นต่อธนาคารหลายแห่ง รวมทั้ง Gazprombank ที่เป็นตัวการใหญ่ที่สุดในการทำธุรกิจพลังงานให้กับรัสเซีย เมื่อรวมกับมาตรการชุดใหม่นี้ เชื่อว่าจะยิ่งทำให้ “เงินรูเบิล” ของรัสเซียอ่อนค่าลงมากขึ้นไปอีกถึงกว่า 20% ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อกับรัสเซียมากยิ่งขึ้น จากระดับเกือบ 10% ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ และสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเศรษฐกิจของรัสเซียทั้งในปี 2025 นี้และต่อไปในอนาคต
โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างอำนาจการต่อรองที่เหนือกว่าให้กับยูเครนและฝ่ายบริหารของว่าที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการบีบให้รัสเซียยอมรับเงื่อนไขยุติสงครามโดยเร็วนั่นเอง