
เริ่มต้นปี 2025 เกิดกระแสการเทขายพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือบอนด์ยีลด์ (Bond Yield) พุ่งสูงขึ้น และกระแสการเทขายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีกในวันที่ 13 มกราคม 2025
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน ที่ 4.799% เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มกราคม
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1998 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 เมื่อวันที่ 13 มกราคม
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ในวันที่ 14 มกราคม
ตลาดตราสารหนี้กังวลอะไร หรือปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไรบ้าง ?
เหตุผลที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ คือตลาดตราสารหนี้กังวลว่าในปี 2025 นี้ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด (Federal Reserve System) จะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด ความกังวลนี้เป็นมุมมองที่ต่างไปจากช่วงกลาง ๆ เดือนธันวาคม 2024 ซึ่งเฟดเผยคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 ครั้งละ 25 เบซิสพอยต์ (bps) หรือ 0.25%
แล้วยิ่งรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือนธันวาคม 2024 ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มกราคม แสดงให้เห็นว่าตลาดงานสหรัฐแข็งแกร่งเกิดคาดไปมาก ยิ่งส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์มากขึ้น ว่าในปีนี้เฟดจะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด หรือเฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยเลยก็เป็นได้ ไปจนถึงขั้นมีนักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่าในปีนี้เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกด้วยซ้ำ
เมื่อตลาดมองว่านโยบายการเงินของเฟดในปีนี้จะยังคงเข้มงวด จึงส่งผลให้กระแสการเทขายพันธบัตรรุนแรงยิ่งขึ้นในวันจันทร์ที่ 13 มกราคม
อย่างไรก็ตาม ความกังวลว่าเฟดจะไม่ลดดอกเบี้ย ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เกิดการเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลอีกหลายประเทศในช่วงนี้
ตามการรายงานของซีเอ็นบีซี (CNBC) ผู้สังเกตการณ์ในตลาดอธิบายว่า พันธบัตรรัฐบาลได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย นอกจากนักลงทุนในตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยน้อยลงหรือไม่ลดแล้ว นักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของรัฐบาลด้วย ทั้งรัฐบาลสหรัฐและรัฐบาลสหราชอาณาจักรล้วนแต่ขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก
การที่รัฐบาลของหลายประเทศจะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ตลาดกังวลกับฐานะการเงินของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงว่ากำลังจะมีการออกพันธบัตรกู้เงินรุ่นใหม่ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งนั่นจะทำให้พันธบัตรรัฐบาลที่ซื้อขายกันในตลาดรองมีความน่าสนใจน้อยลง จึงเกิดการเทขายโดยลดราคาลง
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐขาดดุลการคลัง 87,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และภาพรวมสามเดือนแรกของปีงบฯ 2024 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมขาดดุล 711,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY)
ขณะที่ฝั่งสหราชอาณาจักรนั้น หนี้สาธารณะซึ่งไม่รวมหนี้ของธนาคารของรัฐ ณ เดือนธันวาคมอยู่ที่ 98% ของจีดีพี
แซ็กคารี กริฟฟิธส์ (Zachary Griffiths) ที่ปรึกษาอาวุโสของเครดิตอินไซต์ส (CreditSights) บริษัทวิจัยสินเชื่อในเครือ ฟิทช์ กรุ๊ป (Fitch Group) กล่าวว่า ตลาดพันธบัตรอังกฤษกำลังมีการเทขายมากขึ้นด้วยเหตุผลหลายประการที่คล้ายคลึงกันกับตลาดสหรัฐ สาเหตุหลัก ๆ ก็คือความไม่สบายใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการคลัง นอกจากนั้น การที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงยังทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อด้วย
โทนี เครสเซนซี (Tony Crescenzi) รองประธานบริหารของแปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ คอมปะนี (Pacific Investment Management Company) หรือพิมโก้ (PIMCO) หนึ่งในผู้ลงทุนในตลาดพันธบัตรกล่าวว่า นักลงทุนในพันธบัตรกำลังส่งเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานด้านการคลังทั่วโลกควบคุมทิศทางงบประมาณของตน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญกับการลงโทษจากนักลงทุนมากยิ่งขึ้น