
โดนัล ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐลั่นจะตั้งหน่วยงานจัดเก็บรายได้จากต่างประเทศตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง หวังเก็บภาษีศุลกากรและรายได้จากต่างประเทศชดเชยการเก็บภาษีเงินได้จากชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลมาอย่างยาวนาน
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2025 ตามเวลาสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนถัดไปกล่าวว่า จะจัดตั้งหน่วยงานของรัฐบาลหน่วยงานใหม่ ที่เรียกว่า หน่วยงานจัดเก็บรายได้จากภายนอก (External Revenue Service: ERS) เพื่อจัดเก็บภาษีนำเข้า อากร และรายได้ทั้งหมดจากต่างประเทศ ในขณะที่ทีมงานของเขากำลังเตรียมจัดทำแผนภาษีนำเข้าใหม่ ก่อนที่จะเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคมนี้
ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทรูธโซเชียล (Truth Social) ว่า เขาจะเริ่มตั้งหน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายนอกตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยในโพสต์ระบุว่า สหรัฐอเมริกามีการจัดเก็บภาษีรายได้จากคนในประเทศผ่านหน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายในประเทศ (Internal Revenue Service: IRS) เป็นระยะเวลายาวนาน ขณะที่ผ่อนปรนภาษีนำเข้าสินค้าให้ประเทศอื่น ๆ
“ด้วยข้อตกลงทางการค้าที่อ่อนแอ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้ส่งมอบการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่โลกอย่างมากมาย ในขณะที่เราต้องเรียกเก็บภาษีจากคนในประเทศของเราเอง ดังนั้น นี่ถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว เราจะเริ่มเรียกเก็บเงินจากผู้ที่เข้ามาทำเงินกับเราผ่านทางการค้า และพวกเขาจะต้องเริ่มจ่ายตามสัดส่วนที่เหมาะสม” ทรัมป์โพสต์ในแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล
รอยเตอร์ระบุว่า ยังไม่สามารถติดต่อโฆษกของทีมเปลี่ยนผ่านรัฐบาลของทรัมป์เพื่อให้แสดงความคิดเห็นหรือชี้แจงได้ว่าหน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายนอกนี้จะดำเนินงานอย่างไร
ทรัมป์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าหน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายนอกนี้จะเข้ามาแทนที่หน่วยงานที่ทำการจัดเก็บภาษี อากร ค่าธรรมเนียมและค่าปรับต่าง ๆ ก่อนหน้าอย่างหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ (U.S. Customs and Border Protection: CBP) หรือการเก็บภาษีรายได้จากบริษัทต่างชาติและรายได้ส่วนบุคคลโดย หน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายในประเทศ (IRS) หรือไม่
นอกจากนี้ยังมีความไม่ชัดเจนอื่นเพิ่มเติมในเรื่องที่ว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเป็นการสร้างระบบการดำเนินงานของรัฐเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับแผนของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency: DOGE) ที่นำโดยมหาเศรษฐีอย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (Tesla) และ วิเวก รามาสวามี (Vivek Ramaswamy) อดีตผู้บริหารด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งมุ่งหาวิถีทางที่จะประหยัดการใช้จ่ายงบประมาณหลายล้านล้านดอลลาร์ของรัฐ โดยการปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นักเศรษฐศาสตร์และนักคาดการณ์ในภาคเอกชนวิเคราะห์ว่า ในช่วงระหว่างการหาเสียง ทรัมป์มักจะคิดเก็บรายได้จากภาษีศุลกากรแทนภาษีเงินได้ แต่ตัวเลขของภาษีสองอย่างนี้ไม่สอดคล้องสมเหตุสมผลกัน
แท็กซ์ ฟาวเดชัน (Tax Foundation) องค์กรคลังสมองในสหรัฐที่ทำงานด้านการวิจัยคาดการณ์ว่า การเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากประเทศต่าง ๆ อัตรา 20% นั้น จะสร้างรายได้ให้แก่สหรัฐ 4,500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 156,359,230 ล้านบาท) ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ก่อนที่ผลกระทบด้านลบทางเศรษฐกิจจะหักกลบรายได้จากภาษีดังกล่าวเหลือเพียง 3,300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 114,703,050 ล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีเงินได้ของหน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายในประเทศ (IRS) ซึ่งอยู่ที่ 4,690,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 162,998,605 ล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2023 เพียงปีเดียว
รอน ไวเดน (Ron Wyden) สมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครตในคณะกรรมาธิการนโยบายด้านการเงินของวุฒิสภาได้กล่าวโทษข้อเสนอของทรัมป์ว่า ไม่ว่าจะมีการออกนโยบายหรือสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเท่าใดก็ไม่สามารถปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า ทรัมป์กำลังวางแผนที่จะขึ้นภาษีหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ครอบครัวอเมริกันและธุรกิจขนาดเล็กต้องจ่าย เพื่อที่จะลดภาษีให้คนรวยอีกรอบ
ทั้งนี้ ทรัมป์ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศอัตรา 10%-20% และจะเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนอัตรา 60% ต่อมาในช่วงเดือนธันวาคม 2024 หลังชนะเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% ตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าวิเคราะห์ว่า การเรียกเก็บภาษีศุลกากรเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงทั้งกระแสการค้า เพิ่มต้นทุนสินค้า และทำให้เกิดการตอบโต้ต่อภาคการส่งออกของสหรัฐ