
ทรัมป์ยังไม่มาแต่เงินเฟ้อมาก่อนแล้ว ! เงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐเดือนธันวาคมอยู่ที่ 2.9% เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนพฤศจิกายน ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.2% ชะลอลงเล็กน้อย นักเศรษฐศาสตร์ยังมีมุมมองไม่ตรงกัน ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงก่อนถึงครึ่งปีหลังหรือไม่
วันที่ 15 มกราคม 2025 เวลา 08.30 น. ตามเวลากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเวลา 20.30 น. เวลาไทย สำนักงานสถิติแรงงาน กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ และเป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด (Federal Reserve)
ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) ซึ่งหมายถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.9% เร่งตัวขึ้นจากอัตราของเดือนพฤศจิกายนซึ่งอยู่ที่ 2.7%
และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MOM) ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้น 0.4% เร่งตัวขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนที่เพิ่ม 0.3% จากเดือนตุลาคม
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 3.2% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) หมายถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนธันวาคมอยู่ที่ 3.2% ชะลอลงเล็กน้อยจากอัตราของเดือนพฤศจิกายนซึ่งอยู่ที่ 3.3%
เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MOM) ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 0.2% ชะลอลงจากเดือนพฤศจิกายนซึ่งเพิ่มขึ้น 0.2%
หมวดสินค้าที่ราคา/ค่าบริการเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า คือค่าบริการขนส่งและการเดินทางที่เพิ่มขึ้น 7.3% (YOY)
หมวดสินค้าที่ราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MOM) คือ สินค้าพลังงานที่เพิ่มขึ้น 2.6% (MOM) ซึ่งเป็นหมวดที่มีส่วนมากถึง 40% ในการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคารวมเมื่อเทียบเดือนก่อนหน้า
อัตราเงินเฟ้อที่ออกมานี้ ในส่วนเงินเฟ้อทั่วไป 2.9% นั้น ตรงกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์และตลาด ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 3.2% นั้นต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.3%
ทั้งนี้ แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เร่งตัวขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์ถือว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเป็นดัชนีบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอลงนี้น่าจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้
ตามการรายงานของรอยเตอร์ (Reuters) ณ ขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์ยังมีมุมมองไม่ตรงกัน ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงก่อนถึงครึ่งปีหลังหรือไม่