จับตาอิทธิพล ‘จีน’ เพิ่มขึ้น ‘ทรัมป์’ ทำให้โลกหันพึ่งพามังกร

สหรัฐ จีน ทรัมป์
พิธีต้อนรับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เข้าพบปะหารือ ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล ระหว่างการเยือนประเทศบราซิลเพื่อเข้าร่วมการประชุม G20 Summit 2024 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 202 4 (ภาพโดย EVARISTO SA / AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

ในสัปดาห์สุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต ได้กล่าวสุนทรพจน์ด้านนโยบายต่างประเทศเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนผู้นำคนใหม่คือ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งนโยบายต่างประเทศที่ว่านี้เรื่องใหญ่และสำคัญสุดสำหรับสหรัฐก็คือเรื่องจีน โดยไบเดนได้เน้นย้ำว่า ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2021 สหรัฐอยู่ในสถานะที่ดีกว่าทางยุทธศาสตร์ระยะยาวในการแข่งขันกับจีน

ไบเดนชี้ว่าหากดูจากสถานการณ์ปัจจุบันของจีน ไม่มีทางจะแซงสหรัฐได้ และตลอด 4 ปีในรัฐบาลของเขาได้สร้างหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม และสร้างหุ้นส่วนใหม่ ๆ เพื่อท้าทายพฤติกรรมก้าวร้าวของจีน และจัดสมดุลอำนาจในภูมิภาคใหม่ ดังนั้น ชัดเจนว่ารัฐบาลในสมัยของตนได้พ้นหน้าที่ไปด้วยการทิ้งสถานะที่แข็งแกร่งไว้ให้รัฐบาลต่อไปได้นำไปใช้ เพราะเราจากไปโดยทำให้อเมริกามีเพื่อนมากขึ้น มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ทำให้ศัตรูของเราอ่อนแอลง และตกอยู่ใต้แรงกดดัน

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักสังเกตการณ์ ซึ่งหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ในฮ่องกง ได้รวบรวมมา เห็นว่าถึงแม้ในยุคของไบเดนจะสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากขึ้นในเอเชีย-แปซิฟิก แต่อิทธิพลของจีนจะยังเพิ่มขึ้นต่อไป

จู เฟิ่ง คณบดีคณะรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหนานจิง ระบุว่า ไบเดนเลือกจะมุ่งเน้นความสำเร็จเกี่ยวกับจีน เพราะนโยบายอย่างอื่น เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครนและตะวันออกกลางตกที่นั่งลำบาก ก็เลยเชื่อว่าความสำเร็จทางการทูตตลอด 4 ปีของเขาก็คือการควบคุมและยับยั้งการผงาดขึ้นของจีน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าอำนาจในเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐนั้นนำหน้าจีน

จูชี้ว่าถึงแม้ทรัมป์เข้ามาบริหารประเทศ สหรัฐก็จะยังสามารถรักษาความสามารถในเชิงยุทธศาสตร์เหนือกว่าจีน และความได้เปรียบนี้จะไม่มีทางยุติลงในระยะสั้นหรือกลาง ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็ตาม แต่หากพิจารณาจากมุมมองของจีนในระยะยาว จีนจะไม่ยอมรับ “ความพ่ายแพ้” ต่อคู่แข่งอย่างสหรัฐ เพราะจีนจะเดินหน้าร่วมมือกับกลุ่ม Global South ซึ่งได้แก่กลุ่มประเทศแอฟริกา ละตินอเมริกา และประเทศกำลังพัฒนาบางส่วนในเอเชียให้ลึกขึ้น รวมถึงขยายกลยุทธ์แบบยืดหยุ่น เพื่อลดแรงกดบีบของสหรัฐ

ไดแอน โลห์ อาจารย์มหาวิทยาลัยหนานหยาง เทคโนโลยี สิงคโปร์ เชื่อว่าสุนทรพจน์ของไบเดนมีเป้าหมายจะส่งสารไปถึงพันธมิตรของสหรัฐและชาวอเมริกันว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาควรจะได้รับการจดจำในฐานะที่ลุกขึ้นสู้กับจีน

ADVERTISMENT

ด้าน หวัง อี้เว่ย ผู้อำนวยการสถาบันกิจการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ในปักกิ่ง ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างของไบเดน การที่ไบเดนมุ่งเน้นที่จะอ้างความสำเร็จเกี่ยวกับจีน ก็เพราะกลัวว่าทรัมป์จะทำลายความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่ไบเดนสร้างขึ้น ขณะเดียวกัน สถานะเชิงกลยุทธ์ของจีนก็ไม่ได้ถูกนิยามโดยสหรัฐ การที่สหรัฐระดมพันธมิตรเพื่อควบคุมยับยั้งจีน ไม่ได้หมายความว่าจีนถูกทำให้อ่อนแอลง กลับกัน “สถานะของจีนในหลายด้าน อย่างเช่นมูลค่าในระดับโลกและห่วงโซ่อุปทานกลับเพิ่มขึ้น”

หวังระบุด้วยว่า เมื่อทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีโลกจะไม่พึ่งพาสหรัฐ แต่จะฝากความหวังไว้กับจีนมากขึ้น อิทธิพลของจีนในโลกจะยิ่งมากขึ้น

ADVERTISMENT

บลูมเบิร์กรายงานว่า เงินหยวนตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าและคำขู่จากทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ทำให้ทางการจีนพยายามอย่างหนักที่จะชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน หลังจากค่าเงินหยวนในตลาดต่างประเทศอ่อนลงมาก จนเกือบจะเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ความพยายามนี้สะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังดิ้นรนเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออก และความไม่มีเสถียรภาพทางการเงิน

ขณะเดียวกัน ก็พยายามจะรักษาความสามารถการแข่งขันด้านส่งออก แต่ก็คงยากที่จะเปลี่ยนแนวโน้มของเงินหยวนในสถานการณ์ที่ดอลลาร์แข็ง และอาจถูกสหรัฐเก็บภาษีสินค้าเพิ่มขึ้นดังกล่าว

นักวิเคราะห์ของยูบีเอส กรุ๊ป ระบุว่า คาดว่าการเก็บภาษีเพิ่มเติมจากจีนจะเริ่มมีผลกระทบในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการใช้จ่ายของบริษัทจีนมากกว่าการส่งออกเสียอีก และนั่นจะพ่นพิษต่อเศรษฐกิจภายในของจีนไปด้วย