
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างยิ่งในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมาของญี่ปุ่น ก็คือ ความพยายามของรัฐบาลที่จะปฏิรูปตลาดแรงงาน โดยเฉพาะความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาแนวทางให้ “ค่าจ้าง” ที่ชะงักงันมานานกว่า 3 ทศวรรษ ตามสภาวะเศรษฐกิจสามารถปรับเปลี่ยนไปสู่สภาวะที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน อันจะเป็นแกนหลักในการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศรุดหน้าอย่างสม่ำเสมอต่อไปในอนาคต ตามโครงการริเริ่มที่รัฐบาลเรียกว่า “โฉมใหม่ของทุนนิยม” (New Form of Capitalism)
โครงการดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของ “ฟูมิโอะ คิชิดะ” อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่ตั้งเป้าจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างทั่วถึง ด้วยการผลักดันให้เกิดการขยายตัวเป็นวัฏจักรในหลาย ๆ ด้านพร้อม ๆ กัน ควบคู่ไปกับการเกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
ในส่วนของตลาดแรงงานนั้น รัฐบาลสนับสนุนให้มีกระบวนการเจรจาต่อรองค่าจ้างขึ้นเป็นรายปี ระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงาน เพื่อให้ได้ค่าจ้างที่สูงขึ้น เริ่มต้นด้วยการปรับขึ้น “ค่าจ้างที่เป็นตัวเลข” (Nominal Wages) ในบัญชีของบริษัท ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าจะนำไปสู่การขึ้น “ค่าจ้างที่แท้จริง” (Real Wages) ในที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งเลยทีเดียว เพราะว่าในเดือนเมษายน 2024 “ค่าจ้างที่เป็นตัวเลข” ของญี่ปุ่นซึ่งหยุดนิ่งมานานปี ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก 5.1%
การปรับเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่แท้จริงของญี่ปุ่นนั้น ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วด้วยกัน โดยในช่วงระหว่างปี 1991 ถึงปี 2021 ค่าจ้างในญี่ปุ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.05 เท่า เทียบกันไม่ติดกับค่าจ้างที่แท้จริงในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งขยายตัวที่ 1.52, 1.51, 1.34 และ 1.34 เท่า ตามลำดับ
โดยหลักการแล้ว หากต้องการให้ค่าจ้างที่แท้จริงปรับเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน แรงงานในประเทศนั้น ๆ จำเป็นต้องมี “ผลิตภาพ” (Productivity) ที่ปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูงตามไปด้วย แต่อันดับว่าด้วยผลิตภาพของแรงงานของญี่ปุ่นลดน้อยถอยลงมาเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วด้วยกัน จากอันดับที่ 21 ของทั้งหมด 35 ชาติในปี 2000 มาอยู่ที่อันดับ 29 จาก 38 ประเทศในปี 2023
การเพิ่ม “ผลิตภาพ” ของแรงงานนั้น ทำได้หลายวิธี อาทิ การเพิ่มการลงทุนเพื่อการนี้และการส่งเสริมนวัตกรรม เป็นต้น รัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งต้องการผลักดันให้เกิดวัฏจักรการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่ยั่งยืน พยายามแก้ปัญหาด้วยการนำเสนอการปฏิรูปตลาดแรงงานของตนเองเสียใหม่ โดยมีเป้าหมายสำคัญนอกจากจะผลักดันให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นแล้ว ยังต้องการให้ช่วงห่างระหว่างค่าจ้างของบริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทต่างชาติ ในตำแหน่งงานเดียวกันลดน้อยลง และลดความเหลื่อมล้ำของค่าจ้าง บนพื้นฐานของเพศ, อายุ และปัจจัยอื่น ๆ ลง
เพื่อแก้ปัญหาท้าทายในตลาดแรงงาน รัฐบาลญี่ปุ่นนำเสนอนโยบายออกมาหลายประการ เป็นการให้ความช่วยเหลือเพื่อปรับเปลี่ยนทักษะในการทำงานสำหรับแรงงานญี่ปุ่น ให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย
ในขณะเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาบริษัทญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยสนใจลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล รัฐบาลญี่ปุ่นก็หันมาให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อการนี้มากขึ้น และปรับเปลี่ยนวิธีการ ไม่ให้การสนับสนุนผ่านทางบริษัทอีกต่อไป แต่หันไปเน้นการให้ความช่วยเหลือโดยตรงต่อแรงงานแทน
การปรับเปลี่ยนอีกประการที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การปรับเปลี่ยนระบบการจ่ายค่าจ้างแรงงาน จากเดิมที่คิดคำนวณค่าจ้างตามความอาวุโส (Seniority-Based System) ซึ่งใช้กันมานานตั้งแต่หลังสงครามโลก ให้เป็นระบบการคิดคำนวณบนพื้นฐานของตำแหน่งงาน (Job-Based Pay System) การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงทำให้ผู้ที่ได้ค่าจ้างสูง ๆ ไม่ใช่ผู้ที่ทำงานอยู่กับบริษัทมานานกว่าอีกต่อไปแล้วเท่านั้น แต่ยังผลักดันให้เกิดการกำหนดมาตรฐานของตำแหน่งงาน กำหนดทักษะสำหรับแต่ละตำแหน่งงานที่ชัดเจนขึ้นอีกด้วย
รัฐบาลญี่ปุ่นยังกำหนดนโยบายอื่น ๆ ออกมาเพื่อปฏิรูปตลาดแรงงานนี้อีกหลายด้าน อาทิ การเอื้ออำนวยให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานได้สะดวกขึ้น ทั้งภายในบริษัทและระหว่างบริษัท เพื่อให้แรงงานสามารถโยกย้ายไปยังภาคอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวได้ เป็นต้น
ผลจากการปฏิรูปตลาดแรงงานครั้งใหญ่นี้ ไม่เพียงเป็นที่สนใจจับตามองภายในญี่ปุ่นเองเท่านั้น แต่ยังถูกจับตาจากโลกภายนอกอีกด้วยว่า จะลงเอยด้วยการเป็นต้นแบบหรือเป็นบทเรียนของการปฏิรูปกันแน่