ปฏิรูปตลาดแรงงานที่ญี่ปุ่น “ต้นแบบ” หรือ “บทเรียน”

JAPAN-ECONOMY-NEW YEAR
Pedestrians walk past Japanese national flags decorating a street in the popular tourist area of Ginza as people do last minute shopping before the New Year's holidays, in central Tokyo on December 30, 2024. (Photo by Richard A. Brooks / AFP)
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างยิ่งในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมาของญี่ปุ่น ก็คือ ความพยายามของรัฐบาลที่จะปฏิรูปตลาดแรงงาน โดยเฉพาะความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาแนวทางให้ “ค่าจ้าง” ที่ชะงักงันมานานกว่า 3 ทศวรรษ ตามสภาวะเศรษฐกิจสามารถปรับเปลี่ยนไปสู่สภาวะที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน อันจะเป็นแกนหลักในการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศรุดหน้าอย่างสม่ำเสมอต่อไปในอนาคต ตามโครงการริเริ่มที่รัฐบาลเรียกว่า “โฉมใหม่ของทุนนิยม” (New Form of Capitalism)

โครงการดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของ “ฟูมิโอะ คิชิดะ” อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่ตั้งเป้าจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างทั่วถึง ด้วยการผลักดันให้เกิดการขยายตัวเป็นวัฏจักรในหลาย ๆ ด้านพร้อม ๆ กัน ควบคู่ไปกับการเกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง

ในส่วนของตลาดแรงงานนั้น รัฐบาลสนับสนุนให้มีกระบวนการเจรจาต่อรองค่าจ้างขึ้นเป็นรายปี ระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงาน เพื่อให้ได้ค่าจ้างที่สูงขึ้น เริ่มต้นด้วยการปรับขึ้น “ค่าจ้างที่เป็นตัวเลข” (Nominal Wages) ในบัญชีของบริษัท ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าจะนำไปสู่การขึ้น “ค่าจ้างที่แท้จริง” (Real Wages) ในที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งเลยทีเดียว เพราะว่าในเดือนเมษายน 2024 “ค่าจ้างที่เป็นตัวเลข” ของญี่ปุ่นซึ่งหยุดนิ่งมานานปี ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก 5.1%

การปรับเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่แท้จริงของญี่ปุ่นนั้น ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วด้วยกัน โดยในช่วงระหว่างปี 1991 ถึงปี 2021 ค่าจ้างในญี่ปุ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1.05 เท่า เทียบกันไม่ติดกับค่าจ้างที่แท้จริงในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งขยายตัวที่ 1.52, 1.51, 1.34 และ 1.34 เท่า ตามลำดับ

โดยหลักการแล้ว หากต้องการให้ค่าจ้างที่แท้จริงปรับเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน แรงงานในประเทศนั้น ๆ จำเป็นต้องมี “ผลิตภาพ” (Productivity) ที่ปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูงตามไปด้วย แต่อันดับว่าด้วยผลิตภาพของแรงงานของญี่ปุ่นลดน้อยถอยลงมาเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วด้วยกัน จากอันดับที่ 21 ของทั้งหมด 35 ชาติในปี 2000 มาอยู่ที่อันดับ 29 จาก 38 ประเทศในปี 2023

การเพิ่ม “ผลิตภาพ” ของแรงงานนั้น ทำได้หลายวิธี อาทิ การเพิ่มการลงทุนเพื่อการนี้และการส่งเสริมนวัตกรรม เป็นต้น รัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งต้องการผลักดันให้เกิดวัฏจักรการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่ยั่งยืน พยายามแก้ปัญหาด้วยการนำเสนอการปฏิรูปตลาดแรงงานของตนเองเสียใหม่ โดยมีเป้าหมายสำคัญนอกจากจะผลักดันให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นแล้ว ยังต้องการให้ช่วงห่างระหว่างค่าจ้างของบริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทต่างชาติ ในตำแหน่งงานเดียวกันลดน้อยลง และลดความเหลื่อมล้ำของค่าจ้าง บนพื้นฐานของเพศ, อายุ และปัจจัยอื่น ๆ ลง

ADVERTISMENT

เพื่อแก้ปัญหาท้าทายในตลาดแรงงาน รัฐบาลญี่ปุ่นนำเสนอนโยบายออกมาหลายประการ เป็นการให้ความช่วยเหลือเพื่อปรับเปลี่ยนทักษะในการทำงานสำหรับแรงงานญี่ปุ่น ให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย

ในขณะเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาบริษัทญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยสนใจลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล รัฐบาลญี่ปุ่นก็หันมาให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อการนี้มากขึ้น และปรับเปลี่ยนวิธีการ ไม่ให้การสนับสนุนผ่านทางบริษัทอีกต่อไป แต่หันไปเน้นการให้ความช่วยเหลือโดยตรงต่อแรงงานแทน

ADVERTISMENT

การปรับเปลี่ยนอีกประการที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การปรับเปลี่ยนระบบการจ่ายค่าจ้างแรงงาน จากเดิมที่คิดคำนวณค่าจ้างตามความอาวุโส (Seniority-Based System) ซึ่งใช้กันมานานตั้งแต่หลังสงครามโลก ให้เป็นระบบการคิดคำนวณบนพื้นฐานของตำแหน่งงาน (Job-Based Pay System) การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงทำให้ผู้ที่ได้ค่าจ้างสูง ๆ ไม่ใช่ผู้ที่ทำงานอยู่กับบริษัทมานานกว่าอีกต่อไปแล้วเท่านั้น แต่ยังผลักดันให้เกิดการกำหนดมาตรฐานของตำแหน่งงาน กำหนดทักษะสำหรับแต่ละตำแหน่งงานที่ชัดเจนขึ้นอีกด้วย

รัฐบาลญี่ปุ่นยังกำหนดนโยบายอื่น ๆ ออกมาเพื่อปฏิรูปตลาดแรงงานนี้อีกหลายด้าน อาทิ การเอื้ออำนวยให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานได้สะดวกขึ้น ทั้งภายในบริษัทและระหว่างบริษัท เพื่อให้แรงงานสามารถโยกย้ายไปยังภาคอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวได้ เป็นต้น

ผลจากการปฏิรูปตลาดแรงงานครั้งใหญ่นี้ ไม่เพียงเป็นที่สนใจจับตามองภายในญี่ปุ่นเองเท่านั้น แต่ยังถูกจับตาจากโลกภายนอกอีกด้วยว่า จะลงเอยด้วยการเป็นต้นแบบหรือเป็นบทเรียนของการปฏิรูปกันแน่