เมื่อทรัมป์มา จีนเสี่ยงการค้า แต่มีโอกาสขยายอิทธิพล

TRUMP_USA-CHINA
A 3D-printed miniature model of U.S. President-elect Donald Trump and the Chinese flag are seen in this illustration taken January 15, 2025. REUTERS/Dado Ruvic/Illustration

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐมีนโยบายมากมายที่ส่งผลกระทบต่อโลก โดยเฉพาะต่อจีนซึ่งเป็นคู่แข่งหมายเลข 1 แม้ว่าล่าสุดทรัมป์บอกว่าจะร่วมกับจีนทำให้โลกสงบสุข แต่หลายฝ่ายคาดว่าจีนซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งหมายเลข 1 และประเทศที่เกินดุลสหรัฐมากเป็นอันดับ 1 ก็ยังคงจะเป็นประเทศที่ถูกคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากทรัมป์เป็นอันดับต้น ๆ อยู่ดี

ตามข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2025 พบว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 จีนเกินดุลกับสหรัฐมากสุดถึง 270,421.2 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,275,176.74 ล้านบาท) คิดเป็นประมาณ 24.95% ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ ขณะที่อันดับรองลงมาอย่างเม็กซิโกคิดเป็น 14.5% และเวียดนามคิดเป็น 10.43% ซึ่งจะเห็นได้ว่าจีนเกินดุลกับสหรัฐมากกว่าเม็กซิโกกับเวียดนามรวมกันเสียอีก

ทรัมป์เคยประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากจีนอย่างต่ำ 60% และประกาศในเวลาต่อมาว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนอีก 10% ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง

แม้ว่าเมื่อวันแรกของทรัมป์มาถึงจริง ๆ ทรัมป์ก็ยังไม่ได้ประกาศให้เริ่มเก็บภาษีประเทศใดในวันแรก มีเพียงเม็กซิโกและแคนาดาที่ทรัมป์บอกว่าจะเริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แต่จีนก็ไม่มีทางรอด จะต้องเจอกำแพงภาษีของสหรัฐไม่น้อยแน่ ๆ

สำหรับรอบนี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) วิเคราะห์ว่า จีนต้องเผชิญกับสงครามการค้าของทรัมป์ 2.0 ต่างไปจากครั้งก่อน ตรงที่ในครั้งนี้เศรษฐกิจอันเปราะบางของจีนพึ่งพาการส่งออกมากกว่ายุคทรัมป์ 1.0 อย่างมาก

ด้วยอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา ประกอบกับวิกฤตภาคอสังหาฯ ที่ยืดเยื้อ ทำให้จีนพึ่งพิงการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การส่งออกคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2024

ADVERTISMENT

ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน การส่งออกจีนเติบโตอย่างมากตลอดปี 2024 และมียอดเกินดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 992,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 33,990,377.85 ล้านบาท)

หากจีนยังคงพึ่งพาภาคการส่งออกอย่างนี้ต่อไป จีนจะต้องพบกับความท้าทายด้านกำแพงภาษีอย่างหนัก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ของจีน อีกทั้งบริษัทที่ลงทุนในจีนอยู่เดิมก็แห่ย้ายออกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ADVERTISMENT

ทว่าในทางกลับกัน การมาของทรัมป์ก็ไม่ได้มีแต่ผลกระทบด้านลบสำหรับจีน แต่ผลกระทบทางบวกก็มีเช่นกัน นักสังเกตการณ์และนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ในยุคของทรัมป์ อิทธิพลของจีนจะเพิ่มขึ้นต่อไป

ตามการรายงานของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ (South China Morning Post) จู เฟิ่ง คณบดีคณะรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหนานจิง วิเคราะห์ว่า สหรัฐในยุคทรัมป์จะยังรักษาความสามารถในเชิงยุทธศาสตร์เหนือกว่าจีน และความได้เปรียบนี้จะไม่มีทางยุติลงในระยะสั้นหรือกลาง ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็ตาม แต่จากมุมมองของจีน จีนจะไม่ยอมรับ “ความพ่ายแพ้” ต่อสหรัฐ เพราะจีนจะเดินหน้าร่วมมือกับกลุ่มโลกใต้ (Global South) ให้ลึกซึ้งขึ้น รวมถึงขยายกลยุทธ์แบบยืดหยุ่น เพื่อลดแรงกดบีบของสหรัฐ

ด้าน หวัง อี้เว่ย ผู้อำนวยการสถาบันกิจการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเหรินหมินในปักกิ่ง วิเคราะห์ว่า เมื่อทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี โลกจะไม่พึ่งพาสหรัฐ แต่จะฝากความหวังไว้กับจีนมากขึ้น อิทธิพลของจีนในโลกจะยิ่งมากขึ้นไปอีก