
ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการใช้ภาษีศุลกากรใหม่ เพื่อจ่ายทดแทนเงินที่หายไปจากนโยบายการลดหย่อนภาษีปี 2017 ที่จะขยายออกไป คณะกรรมาธิการหลักของรัฐสภากล่าวว่า ภาษีศุลกากรในอัตราเท่ากันทั่วโลกที่ 10% อาจช่วยได้ ขณะที่ สส.รีพับลิกันหลายคนน่าจะคัดค้านในชั้นรัฐสภา
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กำลังผลักดันแผนที่จะใช้รายได้จากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น เพื่อช่วยจ่ายทดแทนเงินลดหย่อนภาษีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการต่อต้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนในรัฐสภา
จากข้อเท็จจริงสหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าได้ไม่ถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 3.39 ล้านล้านบาท) ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ซึ่งเป็นค่าปรับทางการค้าที่ใช้กับสินค้าที่นำเข้ามา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องและขยายอุตสาหกรรมในประเทศ ตามปกติแล้วเงินจำนวนดังกล่าวไม่ค่อยเป็นประเด็นในการต่อสู้เรื่องงบประมาณในสภาของรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากเงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียงเล็กน้อยของรัฐบาลกลางเท่านั้น
ทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภท แต่ยังไม่ได้บังคับใช้อัตราภาษีใด ๆ เลย และต้องการใช้อัตราภาษีนี้ในลักษณะเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลและภาษีนิติบุคคล ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของสหรัฐ ทำให้การนับภาษีนำเข้าอยู่ในประเภทเดียวกับภาษีเงินได้และภาษีนิติบุคคลต้องผ่านรัฐสภาก่อน และนับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งนี้ การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเพื่อมาช่วยจ่ายในโครงการรัฐบาลและครอบคลุมการลดหย่อนภาษีตามที่ทรัมป์สัญญาไว้ต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
“แทนที่จะเก็บภาษีพลเมืองเราเพื่อทำให้ประเทศอื่นร่ำรวยขึ้น เราจะเก็บภาษีศุลกากรและเก็บภาษีจากต่างประเทศเพื่อทำให้พลเมืองเราร่ำรวยขึ้น เพื่อจุดประสงค์นี้ เราจึงจัดตั้งหน่วยงานรายได้ภายนอกขึ้น เพื่อเก็บภาษีศุลกากร ภาษีอากร และรายได้ทั้งหมด เงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าสู่คลังเรามาจากแหล่งต่างประเทศทั้งหลาย” ทรัมป์กล่าวในถ้อยแถลงรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
การเพิ่มการจัดเก็บภาษีนำเข้าให้เพียงพอต่องบประมาณสหรัฐถือเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาษีดังกล่าวคิดเป็นรายได้เพียงราว 2% ของรายได้ต่อปีเท่านั้น
“ภาษีศุลกากรจะเป็นส่วนสำคัญมากในการถกอภิปรายเรื่องการลดหย่อนภาษี” ภาษีศุลกากร 10% คิดเป็น “รายได้ประมาณ 350,000-400,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 11.8-13.9 ล้านล้านบาท) ดังนั้น คุณจึงเห็นถึงการเจรจาต่อรองที่จะเป็นไปได้อย่างสวยงาม” ปีเตอร์ นาวาร์โร ผู้ช่วยของทรัมป์ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี (CNBC) เมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา
ราล์ฟ นอร์แมน สส.รีพับลิกัน รัฐเซาท์แคโรไลนา กล่าวว่าการผลักดันใด ๆ ของทรัมป์ในการผ่านกฎหมายภาษีศุลกากรในรัฐสภาจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจาก สส.ทุกคนต่างก็มีเขตพื้นที่รับผิดชอบ และบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรทั้งในทางที่ดีและไม่ดี
บ็อบบี้ โคแกน ผู้อำนวยการอาวุโสด้านนโยบายงบประมาณของรัฐบาลกลางที่ศูนย์อเมริกันก้าวหน้า (Center for American Progress) ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายซ้ายกล่าวว่า ในทางเทคนิคและทางคณิตศาสตร์นั้น เป็นไปได้ที่จะหานโยบายภาษีศุลกากรบางอย่างที่จะชดเชยการลดหย่อนภาษีของทรัมป์ได้ แต่ไม่มีทางที่จะมีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้
ตามเอกสารบันทึกความจำ คณะกรรมาธิการวิธีการและมาตรการของสภาผู้แทนราษฎร (The House Ways and Means Committee) ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการหลักด้านภาษีในสภาล่าง ได้รวมภาษีศุลกากรสากล 10% ไว้ในรายการตัวเลือกเพื่อชดเชยสำหรับต้นทุนการขยายเวลาการลดหย่อนภาษีออกไป โดยคณะกรรมาธิการประมาณการว่าระบบภาษีศุลกากรดังกล่าวจะสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 64 ล้านล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์ประมาณการว่า การขยายเวลาการลดหย่อนภาษีไปอีก (มาตรการนี้มีผลในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 และจะสิ้นสุดลงในปีนี้) จะมีค่าใช้จ่าย 4 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 136 ล้านล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
แทกซ์ ฟาวน์เดชั่น (Tax Foundation) ซึ่งเป็นองค์การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดประเมินว่า ในกรณีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีในอัตราที่รุนแรงที่สุด ซึ่งได้แก่ ภาษีศุลกากรสากลจากทุกประเทศ 20% บวกกับภาษีศุลกากร 60% สำหรับสินค้าส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐ จะทำให้สหรัฐมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 129 ล้านล้านบาท) ในช่วงเวลา 10 ปีของงบประมาณ ซึ่งก็ยังต่ำกว่าจำนวนเงิน 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 146 ล้านล้านบาท) ที่จำเป็นต้องใช้ในการชดเชยการลดหย่อนภาษีที่กำลังจะหมดอายุให้หมด
เอริกา ยอร์ก รองประธานฝ่ายนโยบายภาษีของรัฐบาลกลางจากแทกซ์ ฟาวน์เดชั่น กล่าวว่า การใช้ภาษีศุลกากรเพื่อสร้างรายได้เป็นเรื่องแปลกและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยอร์กกล่าวว่าภาษีศุลกากรเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการหารายได้ ภาษีศุลกากรสร้างภาระที่หนักขึ้นให้กับครัวเรือนที่ยากจนมากกว่าครัวเรือนที่ร่ำรวย