
ข้อมูลเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 24 มกราคม 2025 และอัพเดตล่าสุดเมื่อ 26 มกราคม เวลา 12.27 น.
ในช่วงหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐบอกว่าจะเก็บภาษีศุลกากรสากลสูงสุด 20% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ บริษัทเวียดนามหลายแห่งเฝ้าระวังภาษีที่อาจถูกเรียกเก็บ กลายมาเป็นสาเหตุหลัก ๆ ให้กังวลสำหรับหลายบริษัทที่พึ่งพาตลาดสหรัฐอย่างหนักในการหารายได้ เวียดนามจะเป็นรายต่อไปหรือไม่
แชนเนล นิวส์เอเชีย (CNA) รายงานว่า หนึ่งในนั้นก็มีบริษัทเซา หมาย เทรดดิ้ง (Sao Mai Trading) ตั้งอยู่ในเมืองไฮฟง ทางเหนือของประเทศ ซึ่งส่งออกสินค้า 60% รวมถึงชุดเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในคลินิกและโรงพยาบาล ไปยังสหรัฐอเมริกา และธุรกิจรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้ส่งออกสินค้าหลายล้านชิ้นทุกเดือน
บริษัทกำลังหาวิธีว่าต้องทำอย่างไรจึงสามารถลดความเสี่ยงจากภาษีที่อาจถูกเรียกเก็บจากทรัมป์ โดยการเพิ่มความพยายามสองเท่าที่จะนำเครื่องจักรมาใช้แทนคนเพิ่มมากขึ้นและลดต้นทุน และยังได้มองหาตลาดทางเลือกอื่น ๆ อาทิ ญี่ปุ่นและยุโรป
“เรารู้สึกกังวลอย่างมากในขณะนี้ สหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีสินค้าของเราที่ส่งออกไปสหรัฐเพื่อชดเชยการขาดดุลการค้ากับเวียดนาม” ฝ่าม ทิ ธานห์ ฮอง ผู้จัดการฝ่ายขายระหว่างประเทศของบริษัทกล่าว
ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 การขาดดุลการค้าของสหรัฐเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นเกือบ 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 ขณะนี้เวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ซึ่งการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลกับเวียดนามทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่า เป็นปัจจัยทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
เดโบราห์ เอล์มส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการค้าและเศรษฐกิจ องค์กรการกุศลด้านการค้าที่ยั่งยืน “ฮินริช ฟาวน์เดชั่น” (Hinrich Foundation) กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ความสำคัญกับตัวชี้วัด 2 ตัวเป็นพิเศษ นั่นคือ การขาดดุลการค้าทวิภาคีและค่าเงิน ซึ่งเวียดนามมีปัญหาทั้งสองประเด็นเลย
ทรัมป์ได้สั่งหน่วยงานในกระทรวงที่เกี่ยวข้องทำรายงานการแก้ไขขาดดุลการค้า ตรวจสอบและประเมินการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการบิดเบือนค่าเงินของประเทศต่าง ๆ กำหนดให้ส่งภายในวันที่ 1 เมษายนนี้ ตามการรายงานของบลูมเบิร์ก (Bloomberg)
“ในมุมของรัฐบาลทรัมป์ เวียดนามมีสกุลเงินดองที่มีมูลค่าต่ำเกินไปอย่างมาก ดังนั้นทั้งสองปัญหานี้ถือเป็นจุดด่างพร้อยใหญ่ของเวียดนาม ซึ่งอาจหมายความว่าเวียดนามจะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อประเทศที่เขาต้องการโจมตีโดยเร็วที่สุด” เอล์มส์กล่าว
ในสมัยแรก ทรัมป์กล่าวว่า “เวียดนามเอาเปรียบเรามากกว่าจีนเสียอีก”
แต่ประเทศเวียดนามก็ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ
กลับกลายเป็นว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดเมื่อทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในปี 2018 ในสมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเวียดนามในปี 2019 พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 7% เมื่อเทียบกับปี 2018 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นระดับที่ยังคงไม่มีประเทศไหนทำได้มาก่อนจนปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทต่าง ๆ จำนวนมากพยายามหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐและย้ายโรงงานของตนไปที่เวียดนาม
เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น สถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐในเวียดนามเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ระบุว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งวุฒิสภาได้รับรองตามที่ทรัมป์เสนอชื่อแต่งตั้งแล้วนั้น ได้โทรศัพท์หารือกับบุ่ย แทงห์ เซิน (Bui Thanh Son) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการต่างประเทศเวียดนาม ได้เรียกร้องให้เวียดนามแก้ปัญหาการค้าที่ไม่สมดุลกับสหรัฐ
กระนั้น ในการหารือทางโทรศัพท์ครั้งนี้ รูบิโอได้ชื่นชมความก้าวหน้าในความร่วมทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ซึ่งได้มีการยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เมื่อปลายปี 2023
การหยิบยกประเด็นการขาดดุลการค้าของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐขึ้นมาหารือ จึงตอกย้ำความวิตกกังวลของบริษัทเวียดนาม